วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิธีการปลูกต้นรัก

ความรักกับการปลูกต้นไม้หรือเรียกกันอีกอย่างว่า “ต้นรัก” เราจะมีวิธีปลูกกันอย่างไรดี

เลือกเมล็ดพันธุ์ = การเลือกคนรัก

ขั้นตอนแรกของการปลูกต้นรักคือการเลือกเมล็ดพันธุ์หรือการหาคนที่เราจะปลูกต้นรักด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีข้อกำหนดหรือว่าขั้นตอนที่แน่นอน เพราะความชอบที่แตกต่างทำให้เกิดความหลากหลายในการเลือกสรรเกิดขึ้น บางคนก็ใช่ว่าจะเจอหรือได้คบคนในสเป็คเสมอไป ซึ่งการเลือกหาคนรักนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รักแรกพบ, รักซึมลึก, รักเพื่อนสนิท, รักแบบไม่รู้ตัว, รักเมื่อสายเสียแล้ว เมล็ดพันธุ์เหล่านี้หาได้ไม่ยากแต่ยากตอนจะเริ่มลงมือปลูกครับ

หว่านเมล็ดลงดิน รดน้ำ = เจอคนที่ใช่ เริ่มทุ่มเทกับความรักด้วยการใส่ใจดูแล

ขั้นตอนที่สองของการปลูกต้นรักคือหลังจากเราได้ตกลงปลงใจที่จะเลือกใครสักคนมาร่วมปลูกต้นรักกับเราแล้ว ลำดับถัดมาคือการ “จีบ” นั่นเอง ซึ่งไม่ต่างกับการหว่านเมล็ดลงดิน รดน้ำ เพื่อจะให้ต้นรักของเราเจริญเติบโตงอกงามขึ้นมา ความทุ่มเทใส่ใจดูแลด้วยความรักให้กับคนที่เราจีบนั้น ใช่ว่าจะสำเร็จสวยงามเสมอไป ต้นรักบางต้นก็ตายตั้งแต่ยังเป็นเมล็ด หรือต้นรักบางต้นอาจจะแค่กำลังจะผุดขึ้นมาบนดินก็ตายไปซะก่อนก็มีให้เห็นในหลายๆ คู่ แต่อยากให้คนที่ปลูกต้นรักมือใหม่หรือว่ามืออาชีพคิดไว้เสมอว่า เมื่อคิดจะปลูกต้นรักแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าความรักจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อยในใจลึกๆ เราก็รู้ว่าเราได้ทุ่มเทเต็มที่กับความรักครั้งนี้นั่นเอง

ใส่ปุ๋ย พรวนดิน = ทะนุถนอมความรัก

เมื่อต้นรักของคุณเจริญเติมโตขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการถนอมความรักให้ยิ่งเติบโต เติบใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ผลิดอกออกผลเป็นร่มเงาใจให้กับคุณทั้งสองคน ซึ่งการทะนุถนอมความรักก็ไม่ต่างกับการใส่ปุ๋ยให้กับต้นรักของคุณ ต้องรู้จักแสดงความรัก ความห่วงใย ให้ความสำคัญกับวันพิเศษต่างๆ เพื่อให้ความรักยังสดใส เติมความหวานให้กันและกันเพื่อความรักที่ยั่งยืนมั่นคง

ยาฆ่าแมลง = ความซื่อสัตย์

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ขาดไม่ได้สำหรับการปลูกต้นรักก็คือการพ่นยาฆ่าแมลงที่เรียกว่าความซื่อสัตย์นั่นเอง เพราะต่อให้ความรักของคุณ ยืนต้นสวยงามขนาดไหน แต่ถ้าคุณปล่อยให้มีแมลงตัวอื่นเข้ามากัดกินหรือทำลายต้นรักของคุณ เช่นเรื่องของการมีกิ๊ก มีชู้ นอกใจแล้ว แมลงเหล่านี้อาจทำให้ต้นรักของคุณตายได้ โดยที่คุณอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ ใครๆ เขาก็ทำกัน แต่เชื่อเถอะครับ ไม่มีใครรับได้กับเรื่องของการนอกใจหรือการมีมือที่สามแน่นอนครับ

ต้นรักเป็นเพียงแค่คำเปรียบเทียบกับความรักของคุณสองคน ต้นรักหรือความรักเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสได้จากคนสองคน ดังนั้นต้นรักจะเติบโต สวยงาม แข็งแรงได้ดีเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับความรักของคนสองคนที่จะช่วยดูแลต้นไม้ต้นนี้ไปด้วยกัน แม้วันไหนที่ชีวิตเจอปัญหาหรือว่าอุปสรรคหนักหนาเพียงใด คุณก็จะมั่นใจได้ว่า วันที่คุณเหนื่อยล้าจากโลกภายนอก คุณยังจะมีต้นรักให้คุณมาพักพิง เอนกายพักผ่อน รวมถึงได้ร่มเงาแห่งต้นรักคอยบังแดดบังฝนให้คุณ ยิ่งถ้าคุณมีดอกผลของความรักด้วยกันแล้วล่ะก็ คุณจะมีกำลังใจในการมีชีวิตหรือใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความหมายเลยล่ะครับ ขอให้แฟนนัดเดทมีต้นรักที่สวยงามกันทุกคนนะครับ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เพิ่งรู้จัก...คุยอะไรดี

เอ่อ...คือว่า.....” อย่ามัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ เวลาที่จะจีบใครสักคน ต้องมีการเตรียมตัว คล้ายๆ กับเวลาที่คุณไปสอบสัมภาษณ์งาน ฉะนั้นแล้ว หากคุณปิ๊งใครคนหนึ่งอยู่ และขอเบอร์โทรศัพท์ ของเขาหรือเธอคนนั้นมาได้ในที่สุด คุณยังไม่ควรรีบร้อนโทรไปจีบ โดยที่ยังไม่ได้มีการเตรียมตัว ว่าจะคุยประเด็นเรื่องอะไรดี
หากคุณไม่ได้หล่อ-สวยมาก หรือรวยมาก หรือเป็นระดับคาสโนว่า ที่ดึงดูดใจให้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเปิดบทสนทนากับคุณก่อน คำแนะนำต่อไปนี้ เป็นการเตรียมตัวเบื้องต้น ที่จะช่วยให้บทสนทนาของคุณไหลลื่นไปได้
1.ครอบครัว ชวนคุยเรื่องครอบครัว เป็นการทำความรู้จักกันอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ตามมารยาทแล้ว ถ้าจะคุยกันในประเด็นนี้ คุณต้องเล่าเรื่องราวของครอบครัวคุณ ให้ฝ่ายตรงข้ามฟังก่อน แต่อย่างไรก็ตาม คุณต้องสังเกตน้ำเสียง และท่าที ของฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน ว่าเขาหรือเธอ สะดวกที่จะพูดคุยถึงเรื่องครอบครัวหรือไม่ ถ้าหากเขาหรือเธอไม่สะดวก ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที

2.การศึกษา คุยกันเรื่องการศึกษา เพื่อทำความรู้จักพื้นฐานความรู้ของแต่ละฝ่ายกันก่อน ตัดความรู้สึกเรื่อง สถาบันของผมเก่งกว่าสถาบันของคุณ หรือสถาบันของชั้นเก่งกว่าสถาบันของนายออกไป แต่คุยในประเด็นอย่างเช่น ชอบเรียนวิชาอะไรบ้าง ตอนสมัยเรียนได้ทำกิจกรรมอะไร ที่สนุกๆ บ้างไหม คุยกันไป คุยกันมา อาจจะพบว่า มีเรื่องที่สนใจคล้ายๆ กัน หรืออย่างน้อยๆ ก็ทำให้ ได้รู้จักตัวตนของแต่ละฝ่าย เพิ่มมากขึ้นไปอีก

3.การงาน ถามได้ แต่ว่า ขอความกรุณาอย่าเพิ่งไปถามเรื่องเงินเดือนเป็นเด็ดขาด และถ้าเงินเดือนของคุณอยู่ในระดับสูง ก็ไม่ควรพูดโอ้อวดเกี่ยวกับเงินเดือนของคุณ เช่นเดียวกัน ประเด็นสำหรับคุยเกี่ยวกับเรื่องการงาน มีทั้งเรื่อง ความถนัดของคุณ เรื่องประทับใจในที่ทำงาน หรือเรื่องแย่สุดๆ ในที่ทำงาน ที่คุณอยากจะเม้าท์

4.ความชอบ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องสี คุณชอบสีอะไร? คุณถูกโฉลกกับสีไหน? หรือคุยกันเรื่องสัตว์เลี้ยง เลี้ยงสนุข เลี้ยงแมว เลี้ยงปลา ฯลฯ และมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง

5.หนัง,ละคร,เพลง เป็นอีกเรื่องสำคัญที่จะทำให้รู้ตัวตนของเค้า ไม่ว่าจะเป็น แนวเพลงที่ชอบ ป๊อป,ร็อค,แจ๊ส,ฮิพฮอพ หนังก็มีหลายประเภท ตั้งแต่ดราม่าน้ำตาแตก ทริลเลอร์เขย่าขวัญ รักโรแมนติก เมื่อ รู้แนวที่ชอบของแต่ละฝ่าย ต่อไปเมื่อมีการพัฒนาสายสัมพันธ์ ไปดูหนังด้วยกัน จะได้เลือกดูเรื่องที่ถูกใจ

6.กิจกรรมยามว่าง นอกจากหนัง,ละครและเพลงแล้ว กิจกรรมยามว่างอื่นๆ ก็มีอีก เช่น เล่นกีฬา วาดรูป ท่องเที่ยว เข้าวัด ทำบุญ.... คุยเรื่องกิจกรรมยามว่างที่คุณสนใจ และเสนอแนะเขาหรือเธอว่า ไปเที่ยวที่นี่กันดีมั้ย ไปทำกิจกรรมที่นั่นกันดีมั้ย? หรือชวนกันแลกเปลี่ยนไอเดีย และหาข้อสรุป ว่าจะทำกิจกรรมอะไรดี ที่จะได้สนุกร่วมกัน

7.ไสยศาสตร์และการดูดวง ลองเกริ่นๆ ดูก่อน ว่าเขาหรือเธอ สนใจ และมีความเชื่อเรื่องการดูดวงหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่ชอบการทำนายทายทัก หรือดูดวงชะตาชีวิต ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนถึงศาสตร์ในเรื่องนี้กัน หรือยามมีเวลาว่าง ชวนกันไปดูดวง ก็เข้าท่า

8.ทำบุญ ทุกศาสนามีพิธีกรรมต่างๆ และรูปแบบการทำบุญที่แตกต่างกันออกไป การไปทำบุญด้วยกัน ช่วยทำให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลายลงได้ และช่วยทำให้รักอย่างมีสติ ลองชวนคนที่คุณกำลังจีบอยู่ ไปทำบุญด้วยกัน ถ้าเค้าไป แสดงว่า ส่วนหนึ่งในจิตใจเค้า เชื่อในการทำความดี แต่ถ้าเค้าไม่ไป ก็ไม่ต้องรีบร้อน รอให้เค้าว่างๆ ก่อน ค่อยชวนไปใหม่ อีกรอบก็ได้

9.ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว มีทั้ง กลางวัน และกลางคืน กลางวัน ก็มี สวนสาธารณะ ห้างสรรพค้า สวนสนุก สวนสัตว์ หอศิลป์ ฯลฯ ส่วนสถานที่เที่ยวกลางคืน ก็ไปที่ที่มีความเหมาะสม เช่นร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ริมน้ำเจ้าพระยา ตลาดนัดกลางคืน ที่สะพานพุทธ ถามคนที่คุณกำลังจีบว่า เขาหรือเธอ ชอบสถานที่ ท่องเที่ยว ที่มีบรรยากาศ แบบไหน... เป็นธรรมชาติ? แหล่งช๊อปปิ้ง? แหล่งอาหารอร่อย? เมื่อรู้ใจในเบื้องต้นกันแล้ว ก็เหลือแค่ หาเวลาว่างไปเที่ยวด้วยกัน

10.ความลับ ลองบอกกับคนที่ คุณกำลังจีบอยู่ว่า "เรื่องที่ผมพูดออกไปนี่ เก็บไว้เป็นความลับด้วยนะครับ" เพื่อดูว่า ฝ่ายตรงข้าม จะรักษาความลับของคุณ เอาไว้ได้หรือไม่ ถือเป็นการเล่นอะไรสนุกๆ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องที่คุณพูดออกไป อาจไม่ใช่ความลับ ที่สลักสำคัญอะไรมากก็ได้ หรือว่า ลองเกลี้ยกล่อมฝ่ายตรงข้าม ให้เขาหรือเธอ บอกความลับกับคุณบ้าง

credit:teenee.com

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รู้ทันไข้หวัดใหญ่

การระบาดในตอนเริ่มแรก สื่ออเมริกันเรียกโรคดังกล่าวว่า "ไข้หวัดใหญ่ เอช 1 เอ็น 1" ก่อนที่องค์การอนามัยโลกจะตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า ไวรัสโรคระบาด เอช 1 เอ็น 1/09[22] ในขณะที่ CDC เรียกว่า "ไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1)" หรือ "ไข้หวัดใหญ่ เอช 1 เอ็น 1 2009" ในเนเธอร์แลนด์ เดิมเรียกว่า "ไข้หวัดหมู" แต่ในปัจจุบัน สถาบันสุขภาพแห่งชาติได้เรียกว่า "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1)" ถึงแม้ว่าในสื่อและประชาชนโดยทั่วไปจะใช้ชื่อว่า "ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก" ก็ตาม; เกาหลีใต้และอิสราเอล พิจารณาเรียกชื่ออย่างสั้น ๆ ว่า "ไวรัสเม็กซิโก" ในภายหลัง สื่อสัญชาติเกาหลีใต้ใช้ตัวย่อ "SI" ซึ่งย่อมาจาก "ไข้หวัดใหญ่ในสุกร" (Swine influrenza) ในไต้หวันใช้ชื่อว่า "ไข้หวัดเอช 1 เอ็น 1" หรือ "ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้กันในสื่อท้องถิ่นจำนวนมาก องค์การสุขภาพสัตว์โลกเสนอชื่อว่า "ไข้หวัดใหญ่อเมริกาเหนือ" คณะกรรมาธิการยุโรปใช้คำว่า "ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่"ส่วนในประเทศไทย ได้เคยมีการเรียกโรคดังกล่าวว่า "ไข้หวัดหมู" และ "ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก" ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อเป็น "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009" ในภายหลัง แต่ในปัจจุบัน มักจะย่อเป็น "ไข้หวัด 2009" หรือ "หวัดใหญ่ 2009"
ได้มีการประมาณว่า ประชากรโลกอย่างน้อย 5-15% ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ถึงแม้ว่าผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการไม่รุนแรงมากนัก แต่โรคระบาดดังกล่าวก็ยังก่อให้เกิดการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงในประชากร 3-5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตถึง 250,000-500,000 รายทั่วโลกทุกปี โดยเฉลี่ยแล้ว ทุกปีจะมีผู้เสียชีวิตในสหรัฐอเมริการาว 41,400 ราย ตามข้อมูลซึ่งเก็บรวบรวมระหว่าง พ.ศ. 2522-2544ในประเทศอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่อาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงและการเสียชีวิตเกิดขึ้นกับเด็กทารก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยอาการเรื้อรังซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ถึงแม้ว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในสุกร (เช่นเดียวกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน เมื่อปี พ.ศ. 2461) มีความแตกต่างกันบ้าง เนื่องจากไข้หวัดใหญ่ในสุกรมักจะติดต่อกับคนในวัยหนุ่มสาวและมีสุขภาพดีนอกเหนือจากโรคระบาดประจำปีเหล่านี้ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอยังก่อให้เกิดโรคระบาดทั่วโลกสามครั้งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20: ไข้หวัดใหญ่สเปน ในปี พ.ศ. 2461 ไข้หวัดใหญ่เอเชีย ในปี พ.ศ. 2500 และไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ในปี พ.ศ. 2511-2512 สายพันธุ์ไวรัสเหล่านี้ยังได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงด้านพันธุกรรมครั้งใหญ่ ซึ่งประชากรโลกยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่จำเป็นการศึกษาพันธุกรรมเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เปิดเผยว่า ส่วนพันธุกรรมกว่าสามในสี่หรือหกในแปดของสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ระบาดทั่ว พ.ศ. 2552 เกิดขึ้นมาจากไข้หวัดใหญ่ในสุกรอเมริกาเหนือ ซึ่งได้เริ่มแพร่ระบาดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เมื่อสายพันธุ์ใหม่ถูกระบุชนิดเป็นครั้งแรกในโรงงานฟาร์มในรัฐนอร์ทแคโรไลนา และยังเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่พันธุ์ทางซึ่งรวมไวรัสกว่าสามสายพันธุ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนเริ่มต้นจากระลอกแรกซึ่งมักจะไม่แสดงอาการรุนแรงมากนักในฤดูใบไม้ผลิ ก่อนที่ในระลอกต่อมาจะเป็นอันตรายถึงชีวิตในฤดูใบไม้ร่วง และทำให้มีผู้เสียชีวิตนับแสนคนในสหรัฐอเมริกาผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนเป็นผลมาจากแบคทีเรียโรคปอดอักเสบ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ทำลายเยื่อบุกรองของถุงหลอดลมและปอดของเหยื่อ ทำให้แบคทีเรียโดยทั่วไปจากจมูกและลำคอแพร่เชื้อใส่ปอดของผู้ป่วย โรคระบาดทั่วในภายหลังมีอันตรายถึงตายน้อยลงเนื่องจากการพัฒนายาปฏิชีวนะซึ่งสามารถรับมือกับโรคปอดบวมได้
อาการป่วยของผู้ที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะไม่แตกต่างจากผู้ที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจมีอาการไข้ขึ้นสูง ไอ ปวดศีรษะ เจ็บตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ หนาวสั่น ปวดเมื่อย และคัดจมูก ส่วนอาการท้องร่วง อาเจียนและอาการทางประสาทอาจมีการรายงานในผู้ป่วยบางกรณีผู้ซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากโรคแทรกซ้อนที่มีอาการรุนแรง ได้แก่ ผู้ซึ่งมีอายุ 65 ปีขึ้นไป เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เด็กซึ่งมีอาการทางประสาท สตรีมีครรภ์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามเดือนก่อนคลอด) และผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคหืด โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตัวเลขจาก CDC ระบุว่า จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกามากกว่าร้อยละ 70 คือ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 CDC รายงานว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 "ดูเหมือนจะติดต่อในเด็กซึ่งป่วยเรื้อรังมากกว่าไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลโดยปกติ"[58] และจากจำนวนเด็กซึ่งเสียชีวิตจนถึงปัจจุบัน เกือบสองในสามเคยมีความผิดปกติทางระบบประสาท "เด็กซึ่งมีปัญหาทางประสาทและกล้ามเนื้ออาจเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนได้"อาการในผู้ป่วยรุนแรง
องค์การอนามัยโลกรายงานว่าลักษณะอาการของผู้ป่วยรุนแรงนั้นมีความแตกต่างจากลักษณะที่พบในการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอย่างมาก เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าผู้มีโรคประจำตัวจะเสี่ยงติดโรคติดต่อมากขึ้น แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กลับแสดงอาการรุนแรงในผู้ป่วยซึ่งเคยมีสุขภาพดีมากกว่าในผู้มีโรคประจำตัว ซึ่งในปัจจุบัน ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงของการแสดงอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงในผู้ป่วยเหล่านี้ยังคงอยู่ในระหว่างการวิจัย ในกรณีที่แสดงอาการรุนแรง ผู้ป่วยมักจะเริ่มจากมีอาการทรุดลงราว 3-5 วัน หลังจากเริ่มสังเกตเห็นอาการของโรค สุขภาพของผู้ป่วยจะทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งในช่วงนี้ ผู้ป่วยจำนวนมากมักจะประสบกับความล้มเหลวของระบบหายใจภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งต้องการรักษาในห้องไอซียูอย่างเร่งด่วน และต้องการการช่วยหายใจเชิงกล
คำแนะนำ CDC รายงานว่าอาการแสดงต่อไปนี้คือ "อาการแสดงเตือนฉุกเฉิน" (emergency warning sign) และแนะนำให้ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงอย่างใดอย่างหนึ่งตามรายชื่อนี้ไปรับการรักษากับแพทย์โดยด่วน
สัญญาณเตือนฉุกเฉินในผู้ใหญ่
หายใจลำบากหรือหายใจกระชั้น
เจ็บ ปวด หรือรู้สึกอึดอัดบริเวณอกหรือท้องน้อย
อาการเวียนศีรษะเฉียบพลัน
มีอาการสับสน
อาเจียนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
ร่างกายมีอุณหภูมิต่ำ
สัญญาณเตือนฉุกเฉินในเด็กและทารก
หายใจถี่หรือหายใจลำบาก
ตัวเขียว
ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
ปลุกไม่ตื่นหรือไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
รู้สึกหงุดหงิดจนเด็กไม่อยากถูกอุ้ม
มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการดีขึ้นแล้วครั้งหนึ่งแต่กลับเป็นอีกโดยมีไข้และไออย่างรุนแรง
มีไข้และมีผื่น
ไม่สามารถรับประทานอาหารได้
ร้องไห้ไม่มีน้ำตาไหล

การติดต่อ

เป็นที่เชื่อกันว่า การแพร่ระบาดของไวรัสเอช 1 เอ็น 1 เกิดขึ้นในวิธีเดียวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล โดยส่วนใหญ่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่แพร่รพบาดจากคนสู่คนผ่านทางการไอหรือการจามของผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ในบางครั้ง ก็อาจรวมไปถึงการสัมผัสกับบางสิ่งซึ่งมีไวรัสไข้หวัดใหญ่อยู่บริเวณนั้น แล้วไปสัมผัสกับปากหรือจมูกของตนเองได้อีกทางหนึ่งด้วย ค่าความเร็วในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส (ค่าตัวเลขซึ่งระบุว่ามีผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้มากเพียงใด ในประชากรซึ่งไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค) ต่อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เอช 1 เอ็น 1 พ.ศ. 2552 ถูกประเมินไว้ที่ 1.75
ไวรัสเอช 1 เอ็น 1 ยังสามารถติดต่อสู่สัตว์ รวมทั้งสุกร ไก่งวง เฟอร์เร็ต แมวเลี้ยงและเสือชีตาห์ได้


การป้องกัน


การระบาดทั่วของโรคนั้นมีการคาดการณ์ว่าจะถึงจุดสูงสุดราวกลางฤดูหนาวในซีกโลกเหนือCDC ได้แนะนำว่า ขนาดยาวัคซีนในขั้นแรกควรจะนำไปฉีดให้กับกลุ่มที่ต้องการเป็นพิเศษ อย่างเช่น สตรีมีครรภ์ บุคคลผู้อาศัยหรือเลี้ยงดูทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน เด็กซึ่งมีอายุระหว่าง 6 เดือน - 4 ปี และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขในสหราชอาณาจักร NHS ได้ให้คำแนะนำทำนองเดียวกัน โดยแนะนำให้ใช้กับบุคคลอายุมากกว่า 6 ปีซึ่งเสี่ยงต่อโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และคนในครอบครัวซึ่งมีภูมิคุ้มกันไม่สมบูรณ์
ถึงแม้ว่าในตอนแรกจะมีการคาดการณ์ว่าการฉีดวัคซีนต้องการการฉีด 2 ครั้ง แต่กรณีในการรักษาแสดงออกมาว่าวัคซีนของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น ป้องกันผู้ใหญ่เฉพาะ "ยาโดสเดียว แทนที่จะเป็นสองโดส" ดังนั้น ปริมาณวัคซีนที่จำกัดน่าจะกระจายไปได้ไกลเป็น 2 เท่าจากที่เคยทำนายไว้ ค่าใช้จ่ายจะลดลงโดยการมี "วัคซีนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" สำหรับเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่า 10 ปี ได้มีการแนะนำให้ฉีดวัคซีน 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 21 วัน อย่างไรก็ตาม ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลยังต้องการวัคซีนแยกต่างหากจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลกเป็นกังวลเช่นกัน เนื่องจากเชื้อเป็นไวรัสชนิดใหม่ ซึ่งสามารถกลายพันธุ์และทวีความรุนแรงขึ้นได้ ถึงแม้ว่าอาการของไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงนักและกินเวลาเพียงไม่กี่วันโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา หน่วยงานรัฐบาลยังกระตุ้นให้ประชาคม ธุรกิจและปัจเจกชนในการเตรียมการสำหรับความเป็นไปได้ที่อาจมีการปิดโรงเรียน กรณีลูกจ้างจำนวนมากลางานเพราะการเจ็บป่วย ปริมาณของผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลที่ไม่คงที่ และผลกระทบอย่างอื่นของการระบาดในวงกว้างที่สามารถเป็นไปได้
ในการรับมือกับไวรัส องค์การอนามัยโลกและรัฐบาลสหรัฐเร่งการรณรงค์วัคซีนขนานใหญ่เมื่อปลาย พ.ศ. 2552 ซึ่งนับว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่หลังจากการค้นพบวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ เมื่อปี พ.ศ. 2498
เมโยคลินิกแนะนำมาตรการส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการติดไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งสามารถปรับใช้กับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ คือ ฉีดวัคซีนเมื่อสามารถหาได้ การล้างมือบ่อย ๆ และทั่วถึง การรับประทานอาหารซึ่งมีผลไม้และผักสด ธัญพืชทั้งเมล็ด และโรปตีนไขมันต่ำ รวมทั้งการนอนหลับอย่างเพียงพอ การออกกำลังกายเป็นกิจวัตร และการหลีกเลี่ยงฝูงชนขนาดใหญ่การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งทำให้อาการของโรครุนแรงยิ่งขึ้นในเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ผู้เข้ารับการรักษาของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ระบุได้เป็นผู้สูบบุหรี่

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จีบคนพึ่งอกหักทำอย่างไรดี

อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตของคนที่มีหัวใจ'>ปัญหาหัวใจว่า จีบคนเพิ่งอกหักทำอย่างไรดี  ถ้าเกิดคุณไปปิ๊งปั๊งกับคนที่เพิ่งผ่านอาการช้ำรัก หรือว่าอยู่ในช่วงระหองระแหงกับความรักอยู่ล่ะก็ คงจะมีอาการไม่มั่นใจหรือว่าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกอย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรแล้วล่ะก็ มีคำแนะนำ
อย่าเร่งรัด ให้เวลาและเว้นระยะ
เป็นเรื่องปรกติของคนที่มีความรัก ที่รู้สึกอยากครอบครองหรืออยากรู้คำตอบให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมีใจกับเรารึเปล่า แต่ในกรณีนี้เป็นกรณีพิเศษที่ว่าอีกฝ่ายกำลังมีปัญหาอยู่ ถ้าคุณไปเร่งรัดเค้าเท่ากับว่าเป็นการไปเพิ่มปัญหาให้อีกฝ่าย แทนที่ผลลัพธ์จะออกมาดีมันจะทำให้กลับกลายเป็นเรื่องเลวร้ายหรือแทนที่จะได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กลับจะกลายเป็นจบความสัมพันธ์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยล่ะ การให้เวลาในการตัดสินใจหรือพิสูจน์ความจริงใจของคุณก็เป็นเรื่องสำคัญ พิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็น แล้วก็เว้นระยะให้เค้าได้ทำใจเพื่อพร้อมสำหรับความรักครั้งใหม่ครับ อีกอย่างถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงก็คงจะดูไม่ดีนักที่เพิ่งเลิกกับแฟนก็มีคนใหม่ทันที มองในแง่สังคมด้วยก็ดี
แสดงความจริงใจและใส่ใจ
ความจริงใจเป็นเรื่องสำคัญของการเริ่มต้นในความสัมพันธ์ ถ้าคุณเห็นคนที่คุณชอบกำลังเสียใจอยู่ การแสดงความจริงใจและใส่ใจอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับรักครั้งใหม่ของเค้า การแสดงออกก็ไม่ยาก แค่ส่งข้อความหรือเพลงซึ้งๆให้กำลังใจอีกฝ่าย หรือบางครั้ง สิ่งที่ทำได้ง่ายๆคือการเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะคนที่เสียใจก็แค่อยากให้มีใครมารับฟังความทุกข์เค้าก็พอ
เอาใจเขามาใส่ใจเรา
คนที่เพิ่งเสียใจกับความรักมาอาจจะมีผลกับความรักครั้งใหม่ของคนๆนั้น อาจจะทำให้เค้ารู้สึกเข็ดขยาดกับความรักเพราะความผิดหวังและความเสียใจ หรืออาจจะรู้สึกว่าอ้างว้างโดดเดี่ยวอยากได้ใครซักคนมาดูแลหรือว่าอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล สิ่งที่ทำได้คือเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า ถ้าตอนนี้คุณกำลังร้องไห้เสียใจอยู่ แต่กลับมีอีกคนมาแล้วๆขอความรักคุณอยู่ คุณก็คงจะไม่มีอารมณ์ตอบรับอะไรทั้งนั้นจริงไหม
เป็นที่ปรึกษาที่ดี
ไม่ใช่เอาแต่ยุให้เค้าเลิกกันหรือว่าอวดความดีของตัวเอง มันไม่ถูกที่ถูกเวลา เพราะถ้าเกิดเค้ากลับไปรักกันใหม่ คุณเองจะเน่า ให้กำลังใจหรือคำแนะนำที่เป็นกลางที่สุด เพราะสุดท้ายการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวคุณ ถ้าคุณรักอีกฝ่ายจริงการเห็นเค้ามีความสุขนั่นคือความรักที่แท้จริงไม่ใช่เหรอ (อันนี้ทำยากแต่ถ้าทำได้ก็จะดี)
อย่าทำผิดเหมือนคนที่ผ่านมา
ถ้าคุณได้มีโอกาสรับฟังปัญหาของเค้าว่าความผิดหวังครั้งก่อนของเค้ามีสาเหตุเกิดจากอะไร ให้จำเอาไว้แล้วอย่าทำนิสัยหรือว่าทำให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยถ้าเค้าผิดหวังเพราะแฟนเก่ามีคนอื่น สิ่งที่คุณต้องทำคือทำให้เค้าไว้ใจคุณให้ได้ หรือบางครั้งคุณอาจจะต้องเตรียมรับมือว่าต่อไปถ้าได้คุณได้คบกับเค้า คุณต้องสู้กับความระแวงที่ฝังใจของอีกฝ่ายอยู่ แล้วพิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็นว่าคุณจะไม่ทำความผิดเหมือนคนที่ผ่านมา

เป็นโรคไต ทำไมถึงคัน

ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก  ประมาณว่าประชากรโลกมากกว่า 500 ล้านคนเป็นโรคไต ในประเทศไทยก็พบผู้ป่วยโรคไตสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ที่น่าสนใจคือพบว่าผู้ป่วยโรคไตมีปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนังบ่อยมาก                                                                                          

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร บอกว่า เมื่อตรวจผิวหนังผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายจะพบว่าร้อยละ 50-100 ของผู้ป่วยมีความผิดปกติของผิวหนังอย่างน้อยหนึ่งชนิด  
 ปัญหาผิวหนังที่พบในผู้ป่วยโรคไตแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่  คือ 
1. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังในโรคที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคไตระยะสุดท้าย เช่น ถ้าโรคไตเกิดจากการเป็นเบาหวานมาก่อน ก็จะพบการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่เหมือนกับที่พบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เช่น มีผื่นที่หน้าแข้ง ซอกคอดำ ถ้าโรคไตสืบเนื่องมาจากการเป็นโรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ก็จะมีอาการทางผิวหนังที่เหมือนกับที่พบในผู้ป่วยเอดส์ เช่น  มีเนื้องอกผิวหนังเป็นตุ่มสีม่วง และลิ้นมีสีขาวแลดูคล้ายมีขน  

2. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่เนื่องมา จากอาการยูรีเมีย คำว่า ยูรีเมีย เป็นอาการของผู้ป่วยโรคไตวาย ที่มีของเสียจำพวกไนโตรเจนคั่งอยู่ในเลือด ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร เฉื่อยชา หรือหมดสติได้ การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังในกลุ่มนี้ที่พบบ่อยได้แก่ อาการคันผิวหนัง และผิวแห้ง 

3. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่เนื่องมาจากการเปลี่ยนไต ซึ่งอาจเกิดจากยาที่ต้องใช้ เช่น อาการหน้ากลมเป็นพระจันทร์จากการได้สเตียรอยด์ หรือ อาจเกิดจากภาวะที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ถูกกดภูมิต้านทาน จึงทำให้เริม และงูสวัดกำเริบ ติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นฝีหนองง่ายขึ้น ติดเชื้อรา เป็นหิด และเป็นมะเร็งผิวหนังบ่อยขึ้นกว่าคนปกติ                                                   

สำหรับอาการคันผิวหนังในผู้ป่วยโรคไตนั้นพบได้บ่อยมาก กล่าวคือ ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังมีอาการคันอย่างมีนัยสำคัญ ถึงร้อยละ 15-49 และผู้ป่วยโรคไตที่ต้องล้างไต มีอาการคันร้อยละ 50-90  อาการคันอาจเป็นช่วง ๆ หรือคงที่ เป็นเฉพาะที่ หรือเป็นทั่วร่างกาย  คันน้อยจนถึงคันมาก

เมื่ออาการคันเป็นเฉพาะที่มักเป็นเด่นชัดที่แขนและหลังด้านบน อาการคันส่งผลเสียต่อการนอนหลับและสุขภาพจิตของผู้ป่วยได้บ่อย ผู้ป่วยมักเกาจนเกิดรอยแกะเกาทำให้ผิวหนังมีการติดเชื้อตามมาได้ง่าย เกิดตุ่มคันนูนหนา และผิวหนังหนาตัวเป็นเปลือกไม้ สาเหตุของอาการคันเชื่อว่าอาจเกิดจาก ผิวแห้ง ร่างกายขจัดสารที่ก่ออาการคันออกทางผิวหนังได้น้อยลง  ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติจึงมีแคลเซียม ฟอสเฟต และฮีสตามีนในเลือดสูงขึ้น

 การรักษาอาการคันในผู้ที่เป็นโรคไตนั้น ได้แก่ การใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นเพื่อลดผิวแห้ง เพิ่มประสิทธิภาพของการฟอกไต ปรับระดับของแคลเซียม  ฟอสเฟต ให้ปกติ  ในบางรายการใช้ยาแก้แพ้กลุ่มที่กินแล้วง่วง และการอบเซาน่าอาจลดอาการคันลงได้ชั่วคราว ในรายที่เป็นมากแพทย์อาจพิจารณาใช้การฉายแสงรังสียูวีบี และใช้การผ่าตัดต่อมพาราไทรอยด์ออก







Credit: www.teenee.com