วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทุเรียน!!! ดีท็อกซ์พยาธิ

พยาธิ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยในร่างกายของสัตว์อื่นโดยเรียกว่า ปรสิต (เป็นคำด่าที่แรงพอสมควร) ซึ่งมันคอยดูดสารอาหารและแย่งคุณค่าทางโภชนาการของเราไป ดังนั้น วันนี้มีวิธีการถ่ายพยาธิมาเสนอ ซึ่งก็คือ


"ทุเรียน" หวานปากเลย สำหรับคนชอบทุเรียน ซึ่งนอกจากกลิ่นจะหอมโหยหวนแล้ว ยังหวานอร่อยอีก (ย๊ำ สำหรับคนที่หลงไหลในทุเรียน) ยังมีประโยชน์ซึ่งช่วยในการถ่ายพยาธิ และยังช่วยล้างขยะสกปรกในลำไส้ได้อีกด้วย



วิธีการกินทุเรียนฆ่าพยาธินั้นก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ตื่นแต่เช้าประมาณ 05.00 น. มากินทุเรียนสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ตามน้ำหนักตัว เมื่อกินเสร็จแล้วก็ให้ดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆ จากนั้นความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติและกากใยจากทุเรียนก็จะออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ได้ รวมทั้งยังช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้ด้วย เป็นการดีท็อกซ์ด้วยทุเรียนอีกอย่างหนึ่ง

แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ก็ต้องระมัดระวังเรื่องการกินทุเรียนหน่อย ไม่อย่างนั้นแทนที่จะเป็นการถ่ายพยาธิ กลับจะทำให้โรคกำเริบขึ้นแทนได้ อย่างนั้นแย่แน่ๆ


Credit:teenee.com

วิธีการลดพุงพลุ้ยจากการจิบเบียร์

สำหรับสุภาพบุรุษทั้งหลายที่ชอบตะลุย Party ยามราตรี (แล้วอ้างกับสาวๆ ว่าเข้าสังคม) เป็นชีวิตจิตใจ แนะนำให้มาอ่านทางนี้ด่วน ยิ่งหนุ่มๆ ที่ดื่มเบียร์เป็นลิตรแทนน้ำทุกวันๆ จนพุงเริ่มเป็นชั้นๆ เข้าไปทุกทีๆ ยิ่งต้องรีบเลย เพราะวันนี้เรามีวิธีการลดพุงจากเบียร์มาแนะนำ มาหาวิธีดูแลรักษาพุงให้ยุบไวๆ ดีกว่า

ถึงรู้ว่าการดื่มเบียร์เยอะๆ เป็นการทำลายสุขภาพ และเป็น 1 ในสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการลงพุงก่อนวัยของหนุ่มๆ ทุกคน แต่พอพระอาทิตย์ตกดินทีไรก็อดใจที่จะดื่มไม่ได้ทุกที บางทีหน้าท้องที่ยื่นออกมาจนบดบังร่างกายส่วนล่างนี้ก็ไม่ได้เกิดจากการดื่มเบียร์จนเกินขนาดเพียงอย่างเดียวเสมอไป แต่สาเหตุที่พุงมันล้นออกมาเพราะขาดการออกกำลังกายต่างหาก ทำให้เผาผลาญพลังงานได้น้อย หน้าท้องเลยเก็บสะสมไขมันไว้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ นั่นเอง ใครเริ่มรู้ตัวว่าเวลาก้มมองเท้าแล้วไม่สามารถเห็นร่างกายส่วนล่างได้เพราะพุงบัง มีวิธีการปฎิบัติตัวง่ายๆ ในการลดไขมันหน้าท้องดังนี้


ดื่มให้น้อยลง

ความคิดพื้นฐานที่ใครๆ ก็คิดได้ แต่ถึงเวลาจริงๆ มันทำยากชะมัด นั่นก็คือการดื่มให้น้อยลงนั่นเอง ก็มันติดลมแล้วจะให้หยุดก็คงไม่ใช่ง่ายๆ ดังนั้นต้องรู้จักอดทนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ดื่มแต่พอประมาณก็พอ จากเดิมเคยดื่มวันละ Tower กับเพื่อนฝูงก็อาจจะลดปริมาณลงมา ดื่มซักวันละขวดก็พอ เน้นพูดคุย นั่งชิวกันดีกว่า (นี่สิถึงเรียกว่าเข้าสังคม) เพราะในเบียร์มีสารที่มีชื่อเรียกว่า “เอสโตรจินิก” ซึ่งสารนี้แหละที่จะไปทำให้ฮอร์โมนเกิดความไม่สมดุลขึ้น ทำให้ความสามารถในการเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันลดลงถึง 30% เลยทีเดียว! ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมการดื่มเบียร์ถึงทำให้อ้วน ดังนั้นความเชื่อที่ว่าดื่มเบียร์หลังอาหารช่วยย่อยได้ของหนุ่มๆ ก็เป็นความคิดที่ผิด

หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

รับเข้าร่างกายไปแล้วก็ต้องทำให้มันออกมาบ้าง การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ร่างกายขับสารเอสโตรจินิก (ที่เป็นสาเหตุทำให้อ้วนในเบียร์) ออกมา และยังช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้นด้วย ดังนั้นคุณควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาทีก็พอ ไม่ใช่ออกกำลังเฉพาะหลังวันที่ดื่มนะ หรือไม่ก็ใช้การออกกำลังกายโดยธรรมชาติ อย่างเช่นการจอดรถไว้ไกลๆ ที่ทำงานเพื่อเดินไปทำงานต่อ หรือใครที่อาศัยรถประจำทางก็อาจจะลงเร็วซักป้ายนึง ตื่นให้เช้าหน่อยแล้วเดินต่อเอาก็ได้ รวมทั้งการใช้บันไดในที่ทำงานแทนลิฟท์ด้วย

สร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องเพิ่ม

การสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องสามารถอัตราการกลับมาสะสมกันอีกครั้งของก้อนไขมันได้ แต่จะทำกล้ามเนื้อที่หน้าท้อง ต้องมั่นใจว่าคุณได้ออกกำลังกายจนทำการรีดไขมันออกไปหมดแล้วนะครับ ไม่เช่นนั้นพุงย้อยๆ กลมๆ ของคุณอาจพัฒนามาเป็นพุงแข็งๆ แทนที่ยุบแบนราบก็ได้ ส่วนวิธีการสร้างกล้ามเนื้อก็ออกกำลังกายครับ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเวต หรือการซิทอัพ

เปลี่ยนนิสัยในการทานและพักผ่อนให้เพียงพอ

สองสิ่งสุดท้ายที่สำคัญมากไม่แพ้เรื่องใด ในเมื่อดื่มเบียร์เข้าไปเยอะๆ แล้วก็ควรลดการทานอย่างอื่นลงมานะครับ ควรลดสัดส่วนการรับประทานอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วย ไม่รับประทานอาหารให้อิ่มจนเกินไป บอกลาบุฟเฟ่ห์มื้อใหญ่ไปได้เลย รวมถึงต้องดื่มน้ำให้ได้ 8-12 แก้วต่อวันเพื่อช่วยในเรื่องของการเผาผลาญด้วย และอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอและเป็นเวลาด้วย


ไขมันที่หน้าท้องซึ่งเกิดขึ้นจากการดื่มเบียร์รวมถึงสาเหตุอื่นๆ เช่นการทานเยอะจนเกินไปและไม่ออกกำลังกาย ไม่ได้เพียงทำให้หนุ่มๆ เสียความมั่นใจเท่านั้น แต่มันเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ที่จะตามมาอีกด้วย ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง คอเรสเตอรอลสูง มะเร็ง เบาหวาน และอีกมากมาย แต่ถ้าคุณถ้าสามารถผ่านเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อนี้ได้หมดหนทางที่พุงจะยุบคงอยู่ไม่ไกลแล้ว ขอให้มีความพยายามเท่านั้นรับรองว่าได้กลับมาหล่อหุ่นดีสมใจแน่นอน

Credit:chicministry

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เสริมสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง

อันดับที่ 8. ฝึกการหายใจ
การหายใจของคนเราเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นลึกลงไปใน ‘จิตใต้สำนึก’ เสียด้วยซ้ำ... ศาสตร์ทั้งในตะวันออก และตะวันตก ได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า ถ้าเราสามารถรับรู้ถึงจังหวะการหายใจ และหายใจด้วยวิธีที่ถูกต้อง ก็จะมีส่วนช่วยในการลดความตึงเครียดลงได้มาก
เพียงแค่ฝึกการหายใจเข้า – ออก อย่างช้าๆ จะช่วยให้คุณมีใจจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน และช่วยเพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี


อันดับที่ 7. สร้างเสียงหัวเราะ
การหัวเราะ คือยาขนานเอก (ที่ไม่ต้องเสียตังค์ศื้อซะด้วย).. เพิ่มเสียงหัวเราะและความอารมณ์ดี ได้ด้วยการดูหนังตลกๆ หรือพกหนังสือตลกๆ ติดไม้ติดมือเอาไว้อ่านยามว่าง ยิ่งไปกว่านั้น การได้หัวเราะออกมาแบบสุดๆ (ขนาดพุงกระเพื่อม) จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และช่วยให้คุณมองเห็นมุมมอง ในการแก้ไขปัญหา ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส... วันนี้คุณหัวเราะแล้วหรือยัง?


อันดับที่ 6. เข้าหาธรรมชาติ
ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ นั่งเล่นสบายๆที่น้ำพุ สูดอากาศบริสุทธ์ ปลูกต้นไม้สวยๆ ที่ระเบียงบ้าน ออกไปเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัดเพื่อชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงาม ทั้งน้ำตก ขุนเขา และท้องทะเล พลังที่มีอยู่ในธรรมชาติ จะช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้กับคุณ


อันดับที่ 5. ออกกำลังกาย
เริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยการทำอะไรอย่างกระฉับกระเฉง เพื่อให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หรือถ้าทำงานจนไม่มีเวลา ก็ลองการออกกำลังกายแบบใหม่ๆ อย่างเช่น วันไหน ที่รถติดมาก ก็ลองลงรถเมล์ก่อนถึงบ้านสัก 2 ป้าย แล้วเดินกลับบ้าน นี่เป็นการออกกำลังกายอย่างง่ายๆ โดยไม่เสียเวลา
หรือยามมีเวลาว่างในวันหยุดพักผ่อน ก็อาจจะออกไปวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือปั่นจักรยานตามสวนสาธารณะ.... ร่างกายที่แข็งแรง จะส่งผลให้กลไกต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี และมีสภาพจิตใตที่ดีขึ้นตามมา


อันดับที่ 4. นึกถึงเรื่องราวดีๆ
รำลึกถึงช่วงเวลาๆ ดี ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เช่น ช่วงเวลาสนุกๆ ระหว่างเพื่อนสนิท ช่วงเวลาแห่งความสุข ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนแฟน หรือ ช่วงเวลาของความอบอุ่นภายในครอบครัว หยิบรูปเก่าๆ ขึ้นมาดูบ้าง เมื่อมีโอกาส เปิดดูการ์ดเก่าๆ ที่เคยมีคนเขียนข้อความดีๆ เอาไว้ให้ แล้วยิ้มกับมันอีกครั้ง รับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ว่ายังมีคนที่ห่วงใยคุณอยู่


อันดับที่ 3. เห็นคุณค่าในตัวเอง
แยกรายการสิ่งที่คุณคิดว่ายอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของคุณ ออกมาสัก 3 -5 หัวข้อ พิจารณาดูแต่ละเรื่อง ว่าสิ่งไหนที่ทำแล้ว จะส่งผลดีๆ ให้กับชีวิต ได้ทำสิ่งที่ชอบและเกิดผลดีไปพร้อมๆ กัน จะช่วยสร้างกำลังใจ และแรงผลักดันให้ทำสิ่งต่างๆ อย่างมีความสุข


อันดับที่ 2. เพิ่มความใส่ใจลงไปในสิ่งที่ชอบ
ไม่ว่าจะชอบอะไร... ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว แต่งรถ ชอปปิ๊ง ตกแต่งบ้าน ฯลฯ... การให้ความใส่ใจเพิ่มเติม ถึงสิ่งที่เราชอบอย่างจริงๆ จังๆ จะสามารถช่วยลดความรู้สึกเบื่อ และเสริมสร้างกำลังใจ'>เสริมสร้างกำลังใจให้กับชีวิต ได้อย่างตรงประเด็น


อันดับที่ 1. รู้จักกล่าวคำขอโทษ
ความรู้สึกละอายใจ และเสียใจ จาการที่เรากระทำความผิด สามารถสร้างความกังวลใจให้เกิดขึ้นได้มาก
ดังนั้น การรู้จักกล่าวคำขอโทษด้วยความจริงใจ หลังจากที่คุณทำผิดกับผู้อื่น จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย เหมือนการปลดปล่อยภาระในตัวออกไป

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โรคแพ้อากาศ

โรคแพ้อากาศเป็นอย่างไร
โรคแพ้อากาศ เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย มากที่สุดโรคหนึ่ง ความจริงแล้วชื่อที่เรียกกันมาตั้งแต่อดีตไม่เหมาะสมเพราะสื่อความหมายได้ไม่ดี(อากาศเป็นก๊าซต่าง ๆ ในธรรมชาติรวมกันอยู่ไม่มีปัญหากับจมูก) ในทางการแพทย์ปัจจุบัน ถ้าจะแปลความหมาย ให้ตรงกับชื่อโรคในภาษาอังกฤษ คือ Allergic rhinitis ก็คงต้องแปลเป็นภาษาไทยว่า "โพรงจมูกอักเสบ จากการแพ้" แต่ก็ยาวเกินไป และไม่สะดวกในเรียกใช้

จมูกเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของระบบทางเดินหายใจ เพื่อใช้กรองฝุ่น หรือสิ่งแปลกปลอม โดยติดที่ขนจมูก และใช้ปรับอุณหภูมิของร่างกาย ก่อนที่จะผ่านลงไปสู่หลอดลม เยื่อจมูกยังมีหน้าที่ผลิตสารเยื่อเมือก เพื่อป้องกันสิ่ง แปลกปลอม

โพรงจมูกอักเสบ การที่โพรงจมูกเกิดการ อักเสบขึ้น ทำให้มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จาม คันจมูก ซึ่งจริง ๆ แล้วมีสาเหตุมากมายที่จะทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้ เช่น

โรคแพ้อากาศ (โพรงจมูกอักเสบจากการแพ้)
โพรงจมูกอักเสบจากเชื้อโรค
ไวรัส เรียกว่า หวัด
เชื้อแบคทีเรีย
โพรงจมูกอักเสบ จากยาบางชนิด เช่น ฮอร์โมนบางชนิด ยาลดความดันโลหิตบางชนิด
โพรงจมูกอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุ
บางครั้งโพรงจมูกอักเสบ อาจเป็นอาการนำของโรคร้ายแรง บางโรคได้ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงโรคแพ้อากาศโดยละเอียด
โรคแพ้อากาศ คือโรคที่เกิดจากเยื่อบุโพรงจมูกสัมผัสสาร ก่อภูมิแพ้เป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งเกิดอาการของโรคขึ้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการคันจมูก คัดจมูกหายใจไม่สะดวก น้ำมูกไหลอาจจะกระแอมบ่อย ๆ เนื่องจากมีน้ำมูกไหลลงคอ อาการคัดจมูกถ้าเป็นมาก ผู้ป่วยบางคนจะใช้มือดันจมูกขึ้น เมื่อทำบ่อย ๆ จะเกิดรอยขาว ๆ ขึ้นที่สันจมูก

โรคแพ้อากาศก็เป็นโรคหนึ่ง ซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม มักจะมีประวัติความเจ็บป่วยแบบเดียวกัน ในครอบครัว ได้เช่นกัน

อาการเบื้องต้นของการแพ้อากาศ
ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล คันจมูก ชอบขยี้จมูกจนเกิดรอยบริเวณสันจมูก มีเสมหะในคอ เลือดกำเดาไหลบ่อย และอาจพบอาการคันตา แสบตา น้ำมูกไหล คันหู หูอื้อได้ ผู้ป่วยมักมีอาการดังกล่าวเวลาสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความชื้นในอากาศ แต่เราต้องสังเกตอาการหน่อยเพราะโรคแพ้อากาศจะคล้ายกับไข้หวัด กล่าวคือ อาการของไข้หวัดจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ช่วงแรกจะใส ต่อมาจะข้น ระยะเวลาเป็นนาน 3-10 วัน มีไข้หรือไม่มีก็ได้ มีจามบ้างโดยไม่มีอาการคันจมูก ส่วนโรคแพ้อากาศจะมีอาการคันจมูก ร่วมกับน้ำมูกใส ๆ มีอาการคันตา น้ำตาไหล ไม่มีไข้ ซึ่งส่วนมากมักจะมีอาการมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป

ผู้ป่วยควรพบแพทย์เมื่ออาการเข้าได้กับโรคแพ้อากาศดังที่กล่าวมาแล้ว หรือไม่แน่ใจว่าเป็นโรคแพ้อากาศหรือไม่ เมื่อไปพบแพทย์นอกจากการซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว การตรวจที่ช่วยยืนยันว่าเป็นโรคแพ้อากาศหรือไม่ และแพ้อะไรบ้าง คือการทดสอบทางผิวหนังและการตรวจเลือด ซึ่งผลการตรวจเลือดมีค่าใช้จ่ายสูง และไม่ทราบผลทันที ปัจจุบันนิยมใช้การตรวจทางผิวหนังเป็นหลัก สามารถช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีโรคที่พบร่วมกับโรคแพ้อากาศ ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ น้ำคั่งในหูชั้นกลาง โรคหืดหอบ เจ็บคอ ไอเรื้อรัง ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก การกรน รวมทั้งภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับอีกด้วย

หลักการรักษา
ในปัจจุบันจะมี 3 ลักษณะ คือ การกำจัดและหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้และการดูแลรักษาสุขภาพตนเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด การรักษาด้วยยากินและยาพ่นจมูก นอกจากนี้ยังมีการฉีดวัคซีน สำหรับระยะเวลาในการรักษาไม่สามารถบอกได้ชัดเจน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยว่าสามารถหลีกเลี่ยง ป้องกันและดูแลได้มากน้อยแค่ไหน หากจำเป็นต้องใช้ยาพ่นจมูก ซึ่งสามารถช่วยลดอาการได้ โดยส่วนมากใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน หรือฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ใช้เวลา 3-5 ปีแล้วแต่บุคคล โรคแพ้อากาศสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นอีก ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยและความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย

วิธีป้องกันโรคแพ้อากาศ
การป้องกันต้องอาศัยความร่วมมือทั้งผู้ป่วยและแพทย์ในการติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ การดูแลตนเองของผู้ป่วยและดูแลสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม จะช่วยทำให้อาการของโรคทุเลาลงมากจนไม่มีอาการเลย ผู้ที่เป็นโรคแพ้อากาศ สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติและอยู่ร่วมในสิ่งแวดล้อมเดียวกับผู้อื่นได้ ถ้าสามารถปฏิบัติตัวดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.