คำถาม : ทำไมถึงชอบหมีพูท์ ชอบหมีพูท์ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมต้องหมีพูท์ ฯลฯ
คำเหล่านี้ถูกถามมาอย่างมากมายจนเคยชิน ตอบให้เลยล่ะ ว่าเป็นปมด้อยตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ สมัยนั้นประมาณ 7-8 ขวบได้ ทีวีก็หาดูยากมากสมัยบ้านก็ไม่ได่ร่ำรวย เข้าขัน้ว่าจนด้วยซ้ำสมัยนั้น การที่จะหาดูการ์ตูนตอนเช้านั้นยากมาก ๆ เพาะทั้งหมู่บ้านจะมีทีวี อยู่เครื่องถึงสองเครื่อง ครั้นจะไปดูก็ยากเพราะเจ้าของบ้านเป็นคนรวยค่อนข้างหวง เพราะสมัยก่อนใครมีทีวีนี่ถือว่ารวยเอามากๆ แต่บอกไว่ก่อนว่าสมัยนั้นหมีพูท์ อะไรนะ ยังไม่มีหรอกมีแต่การ์ตูนนินจาฮาโตริ อิคคิวซัง โคราเอม่อน ไรพวกนี้ แต่ก็ไม่ได้ดูอยู่ดี นานๆทีเจ้าของบ้านเค้าถึงจะเปิดให้ดูสักที
เวลาผ่านไป ผ่านไป ทีวีก็เริ่มีมากขึ้น และแล้วทีวีเครื่องแรกของบ้านก็มีมา แล้วก็ดูการ์ตูนเรื่อยๆมา จนมาสะดุดตากับเจ้าหมีตัวอ้วนสีเหลือตัวนึ่ง ที่ไม่ได้มีอะไรในทีแรกนอกจากความอ้วนกะการชอบกินน้ำผึ่งของมัน ดูไปดูมาจึงทราบว่า เค้าคือ"หมีพูท์" นี่เอง ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นน่าจะขึ้นมัธยมได้แล้วแต่หมีพูท์มีต้นกำเนิดมาก่อนนั้นแล้วคือเมื่อประมาณปี คศ.1926-1928 โดยเอ. เอ. มิลน์ โดยใช้ชื่อว่า
วินนี-เดอะ-พูห์
เด็กผู้ชายส่วนใหญ่เค้าจะชอบดูการ์ตูนแนวต่อสู้ ไม่ก็กีฬากัน แต่เรากลับมานั่งจ้องดูการ์ตูนหมีพูท์ เพราะชอบในการดำเนินเรื่องที่ไม่ต้องบถ้นอะไรมากมาย แจ่แฝงไปด้วยสาระ ที่สอนให้เด็กๆ ในสมัยนั้น(รวมถึงเราด้วย)รู้จักการแก้ปัญหา จนทุกวันนี้ วินนี่ เดอะ พูท์ ก็ยังครองใจเด็กๆ เรื่อยมา รวมทั้ง stitch อีกตัว
ฉะนั้นแล้วการที่ใครจะชอบอะไรมันไม่ผิดแปลกไปหรอก เพียงแค่ว่าความชอบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ความจริงอันเจ็บปวด 5 เหตุผลความล้มเหลวของทีมฟุตบอลทีมชาติไทย
แฟนลูกหนังชาวไทยมีอันต้องกุมศีรษะผิดหวังไปตามๆ กันกับผลงานของฟุตบอลชายทีมชาติไทยในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งกระเด็นตกรอบแรกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยครองความเป็นจ้าวลูกหนังอาเซียนถึง 8 สมัยซ้อน (ปี 1993-2007) และยังได้เหรียญทองมากที่สุดถึง 13 ครั้ง น่าจะมาจากสาเหตุดังนี้
1.การเลือกตัวผู้เล่น
ครั้งนี้มีนักเตะจากดิวิชัน 1 มากถึง 9 คน อีก 11 คนที่เหลือเล่นอยู่ในไทยพรีเมียร์ลีก ถือเป็นสัดส่วนที่มากสำหรับการลงเตะในทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติซึ่งมีความเขี้ยวมากกว่าเกมระดับสโมสรในบ้านเรา นอกจากนั้น แข้งส่วนใหญ่เป็นแค่ตัวสำรองในสโมสร ทำให้ขาดความคุ้นเคยกับเกมที่เล่นกันจริงจัง
หากเจาะลงไปอีกทีละตำแหน่งนับว่าชุด “อิเหนาเกมส์” ยังไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุดอย่างที่ทีมงาน(พยายาม) บอก ซึ่งคนที่ผ่านเกมในไทยพรีเมียร์ลีกกับสโมสรมาไม่น้อย เช่น ทศพล ลาเทศ (การท่าเรือไทย), อัครพล มีสวัสดิ์ (บีอีซี เทโรศาสน), ชนานันท์ ป้อมบุบผา (อินทรีเพื่อนตำรวจ) เป็นต้น กลับไม่อยู่ในสารบบ
2.เด็กเส้น ?
สืบเนื่องจากข้อแรก เมื่อดูชื่อกุนซืออย่าง ประพล พงษ์พานิช จะเห็นว่ามีนักเตะที่เคยร่วมงานกับ “น้าเหม่ง” ในระดับสโมสรทั้งสมัยคุม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ แบงค็อก ยูไนเต็ด (รณชัย รังสิโย, ธีราทร บุญมาทัน, พลวุฒิ ดอนจุ้ย, คมกริช คำโสกเชือก) รวมถึงกลุ่มที่คุ้นหน้ากันดีในชุดตกรอบปรีโอลิมปิกด้วยการถูกปรับแพ้เพราะส่งตัวติดโทษแบนตกค้าง อีกหลายคน (เช่น สุจริต จันทกล, เฉลิมศักดิ์ แก้วสุขแท้) ซึ่งการเลือกตัวตามใจฉันทำให้สมดุลของทีมไม่ลงตัว สิ่งที่เห็นชัดที่สุด คือ ชุดนี้ไม่มีนักเตะประเภทฮาร์ดแมนที่คอยตัดและเชื่อมเกมแดนกลาง เมื่อครองบอลไม่ได้ก็ยากที่จะเอาชนะ
3.กุนซือ
จากข้อที่สอง เครดิตของ “น้าเหม่ง” ก่อนมาซีเกมส์ถือว่าไม่ใช่กุนซือที่จะฝากผีฝากไข้ได้หากดูผลงานล่าสุดในการคุม แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ทำทีมย่ำแย่จนหลุดจากเก้าอี้เมื่อเข้าสู่เลกสอง นอกจากนั้น เรื่องแท็กติกและการแก้เกมก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าไหร่นักอย่างที่ปรากฏตั้งแต่นัดแรกที่พ่าย มาเลเซีย ซึ่งสกอร์ควรจะไหลมากกว่า 1-2 ด้วยซ้ำ ตลอดจนเรื่องจิตวิทยาการกระตุ้นผู้เล่นที่บ่อยครั้งเรามักจะเห็น “น้าเหม่ง” นั่งหัวเสียอยู่บนม้านั่งสำรองมากกว่าที่จะลุกขึ้นมาสั่งการแก้เกม แล้วสุดท้ายก็มาโยนความผิดให้กับการตัดสินของกรรมการซึ่งไม่ใช่ลักษณะที่ดีของคนเป็นแม่ทัพ
4.โชคร้าย
นอกเหนือจากความผิดพลาดส่วนบุคคลแล้ว อุบัติเหตุในระหว่างลงสนามก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กำหนดชะตากรรม เริ่มจากนัดแรกที่ถูก “เสือเหลือง” มาเลเซีย ถลกหนังก็ต้องเสีย วีระวุฒิ กาเหย็ม แบ็กซ้ายอาชีพเพียงคนเดียวของชุดนี้ที่ข้อเท้าพลิกก่อนถูกยิงฝังตอนท้าย จากนั้นนัดที่ 3 ซึ่งชี้ชะตากับ อินโดนีเซีย ธีราทร บุญมาทัน ที่เพิ่งโดนใบแดงมาจากทีมชุดใหญ่ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ก็เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดถูกไล่ออกตั้งแต่ 12 นาทีแรกทั้งที่เพิ่งลงจากเครื่องมาในช่วงเที่ยงวันนั้น ทำให้สุดท้ายก็ต้านไม่อยู่
5.สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
ถ้าย้อนกลับไปดูที่การบริหารงานในยุค วรวีร์ มะกูดี แม้จะอ้างว่าฟุตบอลลีกในประเทศกำลังโตวันโตคืน แต่การรีบเพิ่มทีมไทยพรีเมียร์ลีกและดิวิชัน 1 เป็น 18 ทีม, จัดฟุตบอลถ้วยโตโยต้า ลีก คัพ (ที่ไม่มีโควตาไปเล่นในระดับเอเชีย) ขึ้นมาเพิ่มจากเอฟเอ คัพ ในรูปแบบเหย้า-เยือน ทำให้ไม่มีช่องว่างให้ทีมชาติเรียกนักเตะมาเก็บตัวฝึกซ้อมมากเท่าที่ควร รวมทั้งการกำหนดโควตาแข้งนอกที่ส่งชื่อได้ 7 คน ลงเล่นได้ 5 คน เหมือนเป็นการสกัดดาวรุ่งไม่ให้แจ้งเกิด และสุดท้ายคือวัฒนธรรม “อัดฉีด” เพื่อเอาหน้าหากประสบความสำเร็จ แต่ปล่อยให้เตรียมทีมก่อนแข่งตามมีตามเกิด ก็สมควรยกเลิกในวงการฟุตบอลสมัยใหม่ได้แล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงต้องทำใจว่าเราแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง
Credit : rakball
1.การเลือกตัวผู้เล่น
ครั้งนี้มีนักเตะจากดิวิชัน 1 มากถึง 9 คน อีก 11 คนที่เหลือเล่นอยู่ในไทยพรีเมียร์ลีก ถือเป็นสัดส่วนที่มากสำหรับการลงเตะในทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติซึ่งมีความเขี้ยวมากกว่าเกมระดับสโมสรในบ้านเรา นอกจากนั้น แข้งส่วนใหญ่เป็นแค่ตัวสำรองในสโมสร ทำให้ขาดความคุ้นเคยกับเกมที่เล่นกันจริงจัง
หากเจาะลงไปอีกทีละตำแหน่งนับว่าชุด “อิเหนาเกมส์” ยังไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุดอย่างที่ทีมงาน(พยายาม) บอก ซึ่งคนที่ผ่านเกมในไทยพรีเมียร์ลีกกับสโมสรมาไม่น้อย เช่น ทศพล ลาเทศ (การท่าเรือไทย), อัครพล มีสวัสดิ์ (บีอีซี เทโรศาสน), ชนานันท์ ป้อมบุบผา (อินทรีเพื่อนตำรวจ) เป็นต้น กลับไม่อยู่ในสารบบ
2.เด็กเส้น ?
สืบเนื่องจากข้อแรก เมื่อดูชื่อกุนซืออย่าง ประพล พงษ์พานิช จะเห็นว่ามีนักเตะที่เคยร่วมงานกับ “น้าเหม่ง” ในระดับสโมสรทั้งสมัยคุม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ แบงค็อก ยูไนเต็ด (รณชัย รังสิโย, ธีราทร บุญมาทัน, พลวุฒิ ดอนจุ้ย, คมกริช คำโสกเชือก) รวมถึงกลุ่มที่คุ้นหน้ากันดีในชุดตกรอบปรีโอลิมปิกด้วยการถูกปรับแพ้เพราะส่งตัวติดโทษแบนตกค้าง อีกหลายคน (เช่น สุจริต จันทกล, เฉลิมศักดิ์ แก้วสุขแท้) ซึ่งการเลือกตัวตามใจฉันทำให้สมดุลของทีมไม่ลงตัว สิ่งที่เห็นชัดที่สุด คือ ชุดนี้ไม่มีนักเตะประเภทฮาร์ดแมนที่คอยตัดและเชื่อมเกมแดนกลาง เมื่อครองบอลไม่ได้ก็ยากที่จะเอาชนะ
3.กุนซือ
จากข้อที่สอง เครดิตของ “น้าเหม่ง” ก่อนมาซีเกมส์ถือว่าไม่ใช่กุนซือที่จะฝากผีฝากไข้ได้หากดูผลงานล่าสุดในการคุม แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ทำทีมย่ำแย่จนหลุดจากเก้าอี้เมื่อเข้าสู่เลกสอง นอกจากนั้น เรื่องแท็กติกและการแก้เกมก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าไหร่นักอย่างที่ปรากฏตั้งแต่นัดแรกที่พ่าย มาเลเซีย ซึ่งสกอร์ควรจะไหลมากกว่า 1-2 ด้วยซ้ำ ตลอดจนเรื่องจิตวิทยาการกระตุ้นผู้เล่นที่บ่อยครั้งเรามักจะเห็น “น้าเหม่ง” นั่งหัวเสียอยู่บนม้านั่งสำรองมากกว่าที่จะลุกขึ้นมาสั่งการแก้เกม แล้วสุดท้ายก็มาโยนความผิดให้กับการตัดสินของกรรมการซึ่งไม่ใช่ลักษณะที่ดีของคนเป็นแม่ทัพ
4.โชคร้าย
นอกเหนือจากความผิดพลาดส่วนบุคคลแล้ว อุบัติเหตุในระหว่างลงสนามก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กำหนดชะตากรรม เริ่มจากนัดแรกที่ถูก “เสือเหลือง” มาเลเซีย ถลกหนังก็ต้องเสีย วีระวุฒิ กาเหย็ม แบ็กซ้ายอาชีพเพียงคนเดียวของชุดนี้ที่ข้อเท้าพลิกก่อนถูกยิงฝังตอนท้าย จากนั้นนัดที่ 3 ซึ่งชี้ชะตากับ อินโดนีเซีย ธีราทร บุญมาทัน ที่เพิ่งโดนใบแดงมาจากทีมชุดใหญ่ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ก็เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดถูกไล่ออกตั้งแต่ 12 นาทีแรกทั้งที่เพิ่งลงจากเครื่องมาในช่วงเที่ยงวันนั้น ทำให้สุดท้ายก็ต้านไม่อยู่
5.สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
ถ้าย้อนกลับไปดูที่การบริหารงานในยุค วรวีร์ มะกูดี แม้จะอ้างว่าฟุตบอลลีกในประเทศกำลังโตวันโตคืน แต่การรีบเพิ่มทีมไทยพรีเมียร์ลีกและดิวิชัน 1 เป็น 18 ทีม, จัดฟุตบอลถ้วยโตโยต้า ลีก คัพ (ที่ไม่มีโควตาไปเล่นในระดับเอเชีย) ขึ้นมาเพิ่มจากเอฟเอ คัพ ในรูปแบบเหย้า-เยือน ทำให้ไม่มีช่องว่างให้ทีมชาติเรียกนักเตะมาเก็บตัวฝึกซ้อมมากเท่าที่ควร รวมทั้งการกำหนดโควตาแข้งนอกที่ส่งชื่อได้ 7 คน ลงเล่นได้ 5 คน เหมือนเป็นการสกัดดาวรุ่งไม่ให้แจ้งเกิด และสุดท้ายคือวัฒนธรรม “อัดฉีด” เพื่อเอาหน้าหากประสบความสำเร็จ แต่ปล่อยให้เตรียมทีมก่อนแข่งตามมีตามเกิด ก็สมควรยกเลิกในวงการฟุตบอลสมัยใหม่ได้แล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงต้องทำใจว่าเราแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง
Credit : rakball
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ถ้าทำได้แบบเทคนิค 5 ข้อนี้ รับรองรุ่งชัวร์!!!
ตั้งเป้าหมายในการพัฒนางาน
การ ทำงานในแต่ละช่วงเวลาต้องมีการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเราต้องการจะไปถึง ณ จุดใด เช่น ปีนี้เราต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้อย่างน้อย 20
คิดและทำอย่างเป็นระบบ
วิธี การง่ายๆในการพัฒนาระบบงานคือ ลองกำหนดว่างานแต่ละงานต้องทำอะไรบ้าง ทำไปทำไม กิจกรรมไหนเป็นกิจกรรมหลัก กิจกรรมไหนเป็นกิจกรรมรอง แล้วรองลากเส้นเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมต่างๆดูว่าเป็นอย่างไร อะไรเป็นหัวใจสำคัญของงานนั้นๆ อะไรเป็นจุดที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จุดเริ่มต้นอยู่ที่ไหน จุดสิ้นสุดอยู่ที่ไหน สิ่งที่องค์กรต้องการจากงานนั้นๆคืออะไร แล้วให้ลองเขียนเป็นคู่มือวิธีการในการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อนำไปปฏิบัติดู ถ้าติดขัดตรงไหนก็ให้แก้ไขที่คู่มือ นำไปใช้จนเกิดเป็นนิสัย ไม่ใช้ทำงานแบบอาศัย “กึ๋นและเก๋า” เพียงอย่างเดียว หรืออาศัยประสบการณ์เดิมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย “ระบบ” ให้มากยิ่งขึ้น
จัดลำดับความสำคัญของงานก่อนลงมือทำ
เวลา ในการทำงานที่เราสูญเสียไปส่วนมากมักจะเสียไปกับการจัดลำดับในการทำงานไม่มี ประสิทธิภาพ ปัญหานี้สามารถแก้ได้โดยการจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยพิจารณาจากปัจจัย 2 อย่างคือ “ความสำคัญ” และ “ความเร่งด่วน” งานไหนสำคัญมากเร่งด่วนมากทำก่อน งานไหนสำคัญมากเร่งด่วนน้อย อาจจะมอบหมายให้ลูกน้องมือดีทำไปก่อน งานไหนสำคัญน้อยแต่เร่งด่วนมาก มอบหมายให้ลูกน้องที่ทำงานเร็วไปทำ หรือถ้าเราไม่มีลูกน้องก็รีบๆทำให้เสร็จไปก่อนในเวลาอันสั้นไม่ต้องไปพิถี พิถันมันมากนัก (เพราะสำคัญน้อย) ถ้างานไหนสำคัญก็น้อยและไม่เร่งด่วนให้พิจารณาดูว่าตัดออกไปได้บ้างหรือไม่ ไม่ต้องทำ ไม่ต้องรับเข้ามา ถ้าต้องทำก็ให้จดบันทึกไว้ก่อน มีเวลาแล้วค่อยมานั่งเคลียร์ทีเดียว เช่น หลังเลิกงาน หรือวันที่มีงานน้อยๆ
วางแผนนานๆทำงานน้อยๆ
ใครก็ ตามที่ไม่ชอบวางแผนในการทำงาน คิดว่างานนั้นเคยทำมาแล้ว งานนั้นไม่ยาก ระวังคุณจะติดกับดักของ “หลุมพรางการสร้างนิสัยที่ไม่ดี” เมื่อติดแล้วคุณจะแกะออกลำบากเหมือนติดกาวตราช้างเลยนะครับ ขอแนะนำว่าเราควรใช้เวลาในการวางแผนงาน (ไม่ว่างานเก่าหรืองานใหม่) ให้มากๆ คิดให้รอบคอบ คิดหลายๆมุมหลายแนวทาง หลายทางออก และหลากหลายทางเลือก เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะไม่ต้องมานั่งเสียดายในภายหลัง ถ้าเราวางแผนการทำงานที่ดีแล้ว เมื่อลงมือปฏิบัติจะใช้เวลาน้อยลง ประสิทธิภาพของงานจะเพิ่มขึ้น
วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้
การ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีไม่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงงานที่ใหญ่โต เปลี่ยนแปลงทั้งระบบ แต่ต้องมีการทบทวนกระบวนการและวิธีการทำงานเป็นระยะๆ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ว่าการทำงานในเรื่องนั้นๆ ยังไม่ข้อบกพร่อง มีปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆกันบ่อยตรงไหนบ้าง หรือถ้าไม่มีปัญหาให้คิดว่าทำอย่างไรงานในแต่ละอย่างจึงจะทำให้เร็วขึ้น ผิดน้อยลง ใช้ทรัพยากรน้อยลงได้บ้าง การปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปนี้เราอาจจะไม่เห็นผลทันตาทันที แต่จะส่งผลในการทำงานระยะยาว
สรุป การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากที่จะเริ่มลงมือคิดลงมือทำมากกว่า และถ้าใครยังไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนางาน มัวแต่คิดว่าทำไปก็เท่านั้น ผลงานเท่าเดิม หัวหน้าไม่เห็นความสำคัญ ฯลฯ ขอแนะนำให้คิดเสียใหม่ว่าทุกครั้งที่เราพัฒนางานเหมือนกับการที่เรายืมงาน อุปกรณ์ เวลา และเครื่องมือต่างๆขององค์กรมาใช้ในการฝึกสมองของเราแบบที่เราไม่ต้องลงทุน อะไรเลย สำหรับผลงานที่ออกมาเป็นเพียง “ผลพลอยได้” เท่านั้น แล้วเราจะมีความอยากในการพัฒนางานมากยิ่งขึ้น การคิดแบบนี้ถือเป็นการหลอกตัวเองในระดับพื้นฐาน แต่สำหรับคนบางคนอาจจะยังไม่ได้ผล ขอแนะนำให้ลองหลอกตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งชั้นคือ ถ้าเราพัฒนาตัวเองแล้ว เราจะเปลี่ยนงานได้ง่ายขึ้น ได้งานที่ดีขึ้น มีเงินเดือนมากขึ้น ลูกเราจะได้ดูเราเป็นตัวอย่าง โอกาสที่คนที่เราหมายปองจะหันมามองเรามีมากขึ้นเพราะหน้าที่การงานการเงิน เราดีขึ้น ฯลฯ พูดง่ายๆคือนำเอาระดับความสามารถของเราที่จะเกิดจากการพัฒนางานไปผูกติดกับ เป้าหมายในชีวิตที่มีระดับความต้องการสูงๆ เพื่อแปลงเป็นแรงจูงใจภายให้กับตัวเอง ผมมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าศักยภาพของคนมีสูงมาก เพียงแต่ใครจะดึงมันออกมาใช้ได้มากกว่ากันเท่านั้นเอง
“ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน มันซ่อนอยู่ในใจของตัวเราเอง”
ทั้ง หมดที่กล่าวมานี้ต้องการชี้ให้เห็นประเด็นที่ว่าทำไมเราต้องมีการพัฒนาและ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอยู่ตลอดเวลา ผลตอบแทนสูงสุดที่เราได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ได้อยู่ที่ผลงานของเราหรือผลงานของหัวหน้า ขององค์กร แต่อยู่ที่ศักยภาพของสมองของเรามีการพัฒนามากขึ้นมากกว่า ถ้าสมองมีศักยภาพสูงขึ้นแล้ว การที่เราต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ เราต้องการตำแหน่งอะไร เราต้องการทำงานกับองค์กรไหน ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
การตั้งเป้าหมายว่าต้องลดค่าใช้จ่ายในการ ทำงานลง 10% หรือตั้งเป้าหมายว่าผลงานเราจะต้องได้เกรด A หรือ ตั้งเป้าหมายเป็นพนักงานดีเด่นแห่งปีขององค์กร การตั้งเป้าหมายนี้เปรียบเสมือนการจุดไฟแห่งแรงจูงใจในการทำงาน เพราะเราสามารถตอบตัวเองได้ว่าที่เราทำงานหนัก เราขยันทำงานนี้เพื่ออะไร
ตั้งเป้าหมายในการพัฒนางาน
การ ทำงานในแต่ละช่วงเวลาต้องมีการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเราต้องการจะไปถึง ณ จุดใด เช่น ปีนี้เราต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้อย่างน้อย 20
คิดและทำอย่างเป็นระบบ
วิธี การง่ายๆในการพัฒนาระบบงานคือ ลองกำหนดว่างานแต่ละงานต้องทำอะไรบ้าง ทำไปทำไม กิจกรรมไหนเป็นกิจกรรมหลัก กิจกรรมไหนเป็นกิจกรรมรอง แล้วรองลากเส้นเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมต่างๆดูว่าเป็นอย่างไร อะไรเป็นหัวใจสำคัญของงานนั้นๆ อะไรเป็นจุดที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จุดเริ่มต้นอยู่ที่ไหน จุดสิ้นสุดอยู่ที่ไหน สิ่งที่องค์กรต้องการจากงานนั้นๆคืออะไร แล้วให้ลองเขียนเป็นคู่มือวิธีการในการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อนำไปปฏิบัติดู ถ้าติดขัดตรงไหนก็ให้แก้ไขที่คู่มือ นำไปใช้จนเกิดเป็นนิสัย ไม่ใช้ทำงานแบบอาศัย “กึ๋นและเก๋า” เพียงอย่างเดียว หรืออาศัยประสบการณ์เดิมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย “ระบบ” ให้มากยิ่งขึ้น
จัดลำดับความสำคัญของงานก่อนลงมือทำ
เวลา ในการทำงานที่เราสูญเสียไปส่วนมากมักจะเสียไปกับการจัดลำดับในการทำงานไม่มี ประสิทธิภาพ ปัญหานี้สามารถแก้ได้โดยการจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยพิจารณาจากปัจจัย 2 อย่างคือ “ความสำคัญ” และ “ความเร่งด่วน” งานไหนสำคัญมากเร่งด่วนมากทำก่อน งานไหนสำคัญมากเร่งด่วนน้อย อาจจะมอบหมายให้ลูกน้องมือดีทำไปก่อน งานไหนสำคัญน้อยแต่เร่งด่วนมาก มอบหมายให้ลูกน้องที่ทำงานเร็วไปทำ หรือถ้าเราไม่มีลูกน้องก็รีบๆทำให้เสร็จไปก่อนในเวลาอันสั้นไม่ต้องไปพิถี พิถันมันมากนัก (เพราะสำคัญน้อย) ถ้างานไหนสำคัญก็น้อยและไม่เร่งด่วนให้พิจารณาดูว่าตัดออกไปได้บ้างหรือไม่ ไม่ต้องทำ ไม่ต้องรับเข้ามา ถ้าต้องทำก็ให้จดบันทึกไว้ก่อน มีเวลาแล้วค่อยมานั่งเคลียร์ทีเดียว เช่น หลังเลิกงาน หรือวันที่มีงานน้อยๆ
วางแผนนานๆทำงานน้อยๆ
ใครก็ ตามที่ไม่ชอบวางแผนในการทำงาน คิดว่างานนั้นเคยทำมาแล้ว งานนั้นไม่ยาก ระวังคุณจะติดกับดักของ “หลุมพรางการสร้างนิสัยที่ไม่ดี” เมื่อติดแล้วคุณจะแกะออกลำบากเหมือนติดกาวตราช้างเลยนะครับ ขอแนะนำว่าเราควรใช้เวลาในการวางแผนงาน (ไม่ว่างานเก่าหรืองานใหม่) ให้มากๆ คิดให้รอบคอบ คิดหลายๆมุมหลายแนวทาง หลายทางออก และหลากหลายทางเลือก เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะไม่ต้องมานั่งเสียดายในภายหลัง ถ้าเราวางแผนการทำงานที่ดีแล้ว เมื่อลงมือปฏิบัติจะใช้เวลาน้อยลง ประสิทธิภาพของงานจะเพิ่มขึ้น
วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้
การ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีไม่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงงานที่ใหญ่โต เปลี่ยนแปลงทั้งระบบ แต่ต้องมีการทบทวนกระบวนการและวิธีการทำงานเป็นระยะๆ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ว่าการทำงานในเรื่องนั้นๆ ยังไม่ข้อบกพร่อง มีปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆกันบ่อยตรงไหนบ้าง หรือถ้าไม่มีปัญหาให้คิดว่าทำอย่างไรงานในแต่ละอย่างจึงจะทำให้เร็วขึ้น ผิดน้อยลง ใช้ทรัพยากรน้อยลงได้บ้าง การปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปนี้เราอาจจะไม่เห็นผลทันตาทันที แต่จะส่งผลในการทำงานระยะยาว
สรุป การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากที่จะเริ่มลงมือคิดลงมือทำมากกว่า และถ้าใครยังไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนางาน มัวแต่คิดว่าทำไปก็เท่านั้น ผลงานเท่าเดิม หัวหน้าไม่เห็นความสำคัญ ฯลฯ ขอแนะนำให้คิดเสียใหม่ว่าทุกครั้งที่เราพัฒนางานเหมือนกับการที่เรายืมงาน อุปกรณ์ เวลา และเครื่องมือต่างๆขององค์กรมาใช้ในการฝึกสมองของเราแบบที่เราไม่ต้องลงทุน อะไรเลย สำหรับผลงานที่ออกมาเป็นเพียง “ผลพลอยได้” เท่านั้น แล้วเราจะมีความอยากในการพัฒนางานมากยิ่งขึ้น การคิดแบบนี้ถือเป็นการหลอกตัวเองในระดับพื้นฐาน แต่สำหรับคนบางคนอาจจะยังไม่ได้ผล ขอแนะนำให้ลองหลอกตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งชั้นคือ ถ้าเราพัฒนาตัวเองแล้ว เราจะเปลี่ยนงานได้ง่ายขึ้น ได้งานที่ดีขึ้น มีเงินเดือนมากขึ้น ลูกเราจะได้ดูเราเป็นตัวอย่าง โอกาสที่คนที่เราหมายปองจะหันมามองเรามีมากขึ้นเพราะหน้าที่การงานการเงิน เราดีขึ้น ฯลฯ พูดง่ายๆคือนำเอาระดับความสามารถของเราที่จะเกิดจากการพัฒนางานไปผูกติดกับ เป้าหมายในชีวิตที่มีระดับความต้องการสูงๆ เพื่อแปลงเป็นแรงจูงใจภายให้กับตัวเอง ผมมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าศักยภาพของคนมีสูงมาก เพียงแต่ใครจะดึงมันออกมาใช้ได้มากกว่ากันเท่านั้นเอง
“ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน มันซ่อนอยู่ในใจของตัวเราเอง”
ทั้ง หมดที่กล่าวมานี้ต้องการชี้ให้เห็นประเด็นที่ว่าทำไมเราต้องมีการพัฒนาและ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอยู่ตลอดเวลา ผลตอบแทนสูงสุดที่เราได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ได้อยู่ที่ผลงานของเราหรือผลงานของหัวหน้า ขององค์กร แต่อยู่ที่ศักยภาพของสมองของเรามีการพัฒนามากขึ้นมากกว่า ถ้าสมองมีศักยภาพสูงขึ้นแล้ว การที่เราต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ เราต้องการตำแหน่งอะไร เราต้องการทำงานกับองค์กรไหน ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
การตั้งเป้าหมายว่าต้องลดค่าใช้จ่ายในการ ทำงานลง 10% หรือตั้งเป้าหมายว่าผลงานเราจะต้องได้เกรด A หรือ ตั้งเป้าหมายเป็นพนักงานดีเด่นแห่งปีขององค์กร การตั้งเป้าหมายนี้เปรียบเสมือนการจุดไฟแห่งแรงจูงใจในการทำงาน เพราะเราสามารถตอบตัวเองได้ว่าที่เราทำงานหนัก เราขยันทำงานนี้เพื่ออะไร
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ทุเรียน!!! ดีท็อกซ์พยาธิ
พยาธิ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยในร่างกายของสัตว์อื่นโดยเรียกว่า ปรสิต (เป็นคำด่าที่แรงพอสมควร) ซึ่งมันคอยดูดสารอาหารและแย่งคุณค่าทางโภชนาการของเราไป ดังนั้น วันนี้มีวิธีการถ่ายพยาธิมาเสนอ ซึ่งก็คือ
"ทุเรียน" หวานปากเลย สำหรับคนชอบทุเรียน ซึ่งนอกจากกลิ่นจะหอมโหยหวนแล้ว ยังหวานอร่อยอีก (ย๊ำ สำหรับคนที่หลงไหลในทุเรียน) ยังมีประโยชน์ซึ่งช่วยในการถ่ายพยาธิ และยังช่วยล้างขยะสกปรกในลำไส้ได้อีกด้วย
วิธีการกินทุเรียนฆ่าพยาธินั้นก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ตื่นแต่เช้าประมาณ 05.00 น. มากินทุเรียนสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ตามน้ำหนักตัว เมื่อกินเสร็จแล้วก็ให้ดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆ จากนั้นความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติและกากใยจากทุเรียนก็จะออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ได้ รวมทั้งยังช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้ด้วย เป็นการดีท็อกซ์ด้วยทุเรียนอีกอย่างหนึ่ง
แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ก็ต้องระมัดระวังเรื่องการกินทุเรียนหน่อย ไม่อย่างนั้นแทนที่จะเป็นการถ่ายพยาธิ กลับจะทำให้โรคกำเริบขึ้นแทนได้ อย่างนั้นแย่แน่ๆ
Credit:teenee.com
"ทุเรียน" หวานปากเลย สำหรับคนชอบทุเรียน ซึ่งนอกจากกลิ่นจะหอมโหยหวนแล้ว ยังหวานอร่อยอีก (ย๊ำ สำหรับคนที่หลงไหลในทุเรียน) ยังมีประโยชน์ซึ่งช่วยในการถ่ายพยาธิ และยังช่วยล้างขยะสกปรกในลำไส้ได้อีกด้วย
วิธีการกินทุเรียนฆ่าพยาธินั้นก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ตื่นแต่เช้าประมาณ 05.00 น. มากินทุเรียนสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ตามน้ำหนักตัว เมื่อกินเสร็จแล้วก็ให้ดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆ จากนั้นความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติและกากใยจากทุเรียนก็จะออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ได้ รวมทั้งยังช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้ด้วย เป็นการดีท็อกซ์ด้วยทุเรียนอีกอย่างหนึ่ง
แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ก็ต้องระมัดระวังเรื่องการกินทุเรียนหน่อย ไม่อย่างนั้นแทนที่จะเป็นการถ่ายพยาธิ กลับจะทำให้โรคกำเริบขึ้นแทนได้ อย่างนั้นแย่แน่ๆ
Credit:teenee.com
วิธีการลดพุงพลุ้ยจากการจิบเบียร์
สำหรับสุภาพบุรุษทั้งหลายที่ชอบตะลุย Party ยามราตรี (แล้วอ้างกับสาวๆ ว่าเข้าสังคม) เป็นชีวิตจิตใจ แนะนำให้มาอ่านทางนี้ด่วน ยิ่งหนุ่มๆ ที่ดื่มเบียร์เป็นลิตรแทนน้ำทุกวันๆ จนพุงเริ่มเป็นชั้นๆ เข้าไปทุกทีๆ ยิ่งต้องรีบเลย เพราะวันนี้เรามีวิธีการลดพุงจากเบียร์มาแนะนำ มาหาวิธีดูแลรักษาพุงให้ยุบไวๆ ดีกว่า
ถึงรู้ว่าการดื่มเบียร์เยอะๆ เป็นการทำลายสุขภาพ และเป็น 1 ในสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการลงพุงก่อนวัยของหนุ่มๆ ทุกคน แต่พอพระอาทิตย์ตกดินทีไรก็อดใจที่จะดื่มไม่ได้ทุกที บางทีหน้าท้องที่ยื่นออกมาจนบดบังร่างกายส่วนล่างนี้ก็ไม่ได้เกิดจากการดื่มเบียร์จนเกินขนาดเพียงอย่างเดียวเสมอไป แต่สาเหตุที่พุงมันล้นออกมาเพราะขาดการออกกำลังกายต่างหาก ทำให้เผาผลาญพลังงานได้น้อย หน้าท้องเลยเก็บสะสมไขมันไว้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ นั่นเอง ใครเริ่มรู้ตัวว่าเวลาก้มมองเท้าแล้วไม่สามารถเห็นร่างกายส่วนล่างได้เพราะพุงบัง มีวิธีการปฎิบัติตัวง่ายๆ ในการลดไขมันหน้าท้องดังนี้
ดื่มให้น้อยลง
ความคิดพื้นฐานที่ใครๆ ก็คิดได้ แต่ถึงเวลาจริงๆ มันทำยากชะมัด นั่นก็คือการดื่มให้น้อยลงนั่นเอง ก็มันติดลมแล้วจะให้หยุดก็คงไม่ใช่ง่ายๆ ดังนั้นต้องรู้จักอดทนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ดื่มแต่พอประมาณก็พอ จากเดิมเคยดื่มวันละ Tower กับเพื่อนฝูงก็อาจจะลดปริมาณลงมา ดื่มซักวันละขวดก็พอ เน้นพูดคุย นั่งชิวกันดีกว่า (นี่สิถึงเรียกว่าเข้าสังคม) เพราะในเบียร์มีสารที่มีชื่อเรียกว่า “เอสโตรจินิก” ซึ่งสารนี้แหละที่จะไปทำให้ฮอร์โมนเกิดความไม่สมดุลขึ้น ทำให้ความสามารถในการเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันลดลงถึง 30% เลยทีเดียว! ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมการดื่มเบียร์ถึงทำให้อ้วน ดังนั้นความเชื่อที่ว่าดื่มเบียร์หลังอาหารช่วยย่อยได้ของหนุ่มๆ ก็เป็นความคิดที่ผิด
หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
รับเข้าร่างกายไปแล้วก็ต้องทำให้มันออกมาบ้าง การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ร่างกายขับสารเอสโตรจินิก (ที่เป็นสาเหตุทำให้อ้วนในเบียร์) ออกมา และยังช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้นด้วย ดังนั้นคุณควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาทีก็พอ ไม่ใช่ออกกำลังเฉพาะหลังวันที่ดื่มนะ หรือไม่ก็ใช้การออกกำลังกายโดยธรรมชาติ อย่างเช่นการจอดรถไว้ไกลๆ ที่ทำงานเพื่อเดินไปทำงานต่อ หรือใครที่อาศัยรถประจำทางก็อาจจะลงเร็วซักป้ายนึง ตื่นให้เช้าหน่อยแล้วเดินต่อเอาก็ได้ รวมทั้งการใช้บันไดในที่ทำงานแทนลิฟท์ด้วย
สร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องเพิ่ม
การสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องสามารถอัตราการกลับมาสะสมกันอีกครั้งของก้อนไขมันได้ แต่จะทำกล้ามเนื้อที่หน้าท้อง ต้องมั่นใจว่าคุณได้ออกกำลังกายจนทำการรีดไขมันออกไปหมดแล้วนะครับ ไม่เช่นนั้นพุงย้อยๆ กลมๆ ของคุณอาจพัฒนามาเป็นพุงแข็งๆ แทนที่ยุบแบนราบก็ได้ ส่วนวิธีการสร้างกล้ามเนื้อก็ออกกำลังกายครับ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเวต หรือการซิทอัพ
เปลี่ยนนิสัยในการทานและพักผ่อนให้เพียงพอ
สองสิ่งสุดท้ายที่สำคัญมากไม่แพ้เรื่องใด ในเมื่อดื่มเบียร์เข้าไปเยอะๆ แล้วก็ควรลดการทานอย่างอื่นลงมานะครับ ควรลดสัดส่วนการรับประทานอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วย ไม่รับประทานอาหารให้อิ่มจนเกินไป บอกลาบุฟเฟ่ห์มื้อใหญ่ไปได้เลย รวมถึงต้องดื่มน้ำให้ได้ 8-12 แก้วต่อวันเพื่อช่วยในเรื่องของการเผาผลาญด้วย และอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอและเป็นเวลาด้วย
ไขมันที่หน้าท้องซึ่งเกิดขึ้นจากการดื่มเบียร์รวมถึงสาเหตุอื่นๆ เช่นการทานเยอะจนเกินไปและไม่ออกกำลังกาย ไม่ได้เพียงทำให้หนุ่มๆ เสียความมั่นใจเท่านั้น แต่มันเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ที่จะตามมาอีกด้วย ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง คอเรสเตอรอลสูง มะเร็ง เบาหวาน และอีกมากมาย แต่ถ้าคุณถ้าสามารถผ่านเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อนี้ได้หมดหนทางที่พุงจะยุบคงอยู่ไม่ไกลแล้ว ขอให้มีความพยายามเท่านั้นรับรองว่าได้กลับมาหล่อหุ่นดีสมใจแน่นอน
Credit:chicministry
ถึงรู้ว่าการดื่มเบียร์เยอะๆ เป็นการทำลายสุขภาพ และเป็น 1 ในสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการลงพุงก่อนวัยของหนุ่มๆ ทุกคน แต่พอพระอาทิตย์ตกดินทีไรก็อดใจที่จะดื่มไม่ได้ทุกที บางทีหน้าท้องที่ยื่นออกมาจนบดบังร่างกายส่วนล่างนี้ก็ไม่ได้เกิดจากการดื่มเบียร์จนเกินขนาดเพียงอย่างเดียวเสมอไป แต่สาเหตุที่พุงมันล้นออกมาเพราะขาดการออกกำลังกายต่างหาก ทำให้เผาผลาญพลังงานได้น้อย หน้าท้องเลยเก็บสะสมไขมันไว้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ นั่นเอง ใครเริ่มรู้ตัวว่าเวลาก้มมองเท้าแล้วไม่สามารถเห็นร่างกายส่วนล่างได้เพราะพุงบัง มีวิธีการปฎิบัติตัวง่ายๆ ในการลดไขมันหน้าท้องดังนี้
ดื่มให้น้อยลง
ความคิดพื้นฐานที่ใครๆ ก็คิดได้ แต่ถึงเวลาจริงๆ มันทำยากชะมัด นั่นก็คือการดื่มให้น้อยลงนั่นเอง ก็มันติดลมแล้วจะให้หยุดก็คงไม่ใช่ง่ายๆ ดังนั้นต้องรู้จักอดทนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ดื่มแต่พอประมาณก็พอ จากเดิมเคยดื่มวันละ Tower กับเพื่อนฝูงก็อาจจะลดปริมาณลงมา ดื่มซักวันละขวดก็พอ เน้นพูดคุย นั่งชิวกันดีกว่า (นี่สิถึงเรียกว่าเข้าสังคม) เพราะในเบียร์มีสารที่มีชื่อเรียกว่า “เอสโตรจินิก” ซึ่งสารนี้แหละที่จะไปทำให้ฮอร์โมนเกิดความไม่สมดุลขึ้น ทำให้ความสามารถในการเผาผลาญอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันลดลงถึง 30% เลยทีเดียว! ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมการดื่มเบียร์ถึงทำให้อ้วน ดังนั้นความเชื่อที่ว่าดื่มเบียร์หลังอาหารช่วยย่อยได้ของหนุ่มๆ ก็เป็นความคิดที่ผิด
หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
รับเข้าร่างกายไปแล้วก็ต้องทำให้มันออกมาบ้าง การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ร่างกายขับสารเอสโตรจินิก (ที่เป็นสาเหตุทำให้อ้วนในเบียร์) ออกมา และยังช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้นด้วย ดังนั้นคุณควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาทีก็พอ ไม่ใช่ออกกำลังเฉพาะหลังวันที่ดื่มนะ หรือไม่ก็ใช้การออกกำลังกายโดยธรรมชาติ อย่างเช่นการจอดรถไว้ไกลๆ ที่ทำงานเพื่อเดินไปทำงานต่อ หรือใครที่อาศัยรถประจำทางก็อาจจะลงเร็วซักป้ายนึง ตื่นให้เช้าหน่อยแล้วเดินต่อเอาก็ได้ รวมทั้งการใช้บันไดในที่ทำงานแทนลิฟท์ด้วย
สร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องเพิ่ม
การสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องสามารถอัตราการกลับมาสะสมกันอีกครั้งของก้อนไขมันได้ แต่จะทำกล้ามเนื้อที่หน้าท้อง ต้องมั่นใจว่าคุณได้ออกกำลังกายจนทำการรีดไขมันออกไปหมดแล้วนะครับ ไม่เช่นนั้นพุงย้อยๆ กลมๆ ของคุณอาจพัฒนามาเป็นพุงแข็งๆ แทนที่ยุบแบนราบก็ได้ ส่วนวิธีการสร้างกล้ามเนื้อก็ออกกำลังกายครับ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเวต หรือการซิทอัพ
เปลี่ยนนิสัยในการทานและพักผ่อนให้เพียงพอ
สองสิ่งสุดท้ายที่สำคัญมากไม่แพ้เรื่องใด ในเมื่อดื่มเบียร์เข้าไปเยอะๆ แล้วก็ควรลดการทานอย่างอื่นลงมานะครับ ควรลดสัดส่วนการรับประทานอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วย ไม่รับประทานอาหารให้อิ่มจนเกินไป บอกลาบุฟเฟ่ห์มื้อใหญ่ไปได้เลย รวมถึงต้องดื่มน้ำให้ได้ 8-12 แก้วต่อวันเพื่อช่วยในเรื่องของการเผาผลาญด้วย และอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอและเป็นเวลาด้วย
ไขมันที่หน้าท้องซึ่งเกิดขึ้นจากการดื่มเบียร์รวมถึงสาเหตุอื่นๆ เช่นการทานเยอะจนเกินไปและไม่ออกกำลังกาย ไม่ได้เพียงทำให้หนุ่มๆ เสียความมั่นใจเท่านั้น แต่มันเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ที่จะตามมาอีกด้วย ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง คอเรสเตอรอลสูง มะเร็ง เบาหวาน และอีกมากมาย แต่ถ้าคุณถ้าสามารถผ่านเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อนี้ได้หมดหนทางที่พุงจะยุบคงอยู่ไม่ไกลแล้ว ขอให้มีความพยายามเท่านั้นรับรองว่าได้กลับมาหล่อหุ่นดีสมใจแน่นอน
Credit:chicministry
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เสริมสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง
อันดับที่ 8. ฝึกการหายใจ
การหายใจของคนเราเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นลึกลงไปใน ‘จิตใต้สำนึก’ เสียด้วยซ้ำ... ศาสตร์ทั้งในตะวันออก และตะวันตก ได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า ถ้าเราสามารถรับรู้ถึงจังหวะการหายใจ และหายใจด้วยวิธีที่ถูกต้อง ก็จะมีส่วนช่วยในการลดความตึงเครียดลงได้มาก
เพียงแค่ฝึกการหายใจเข้า – ออก อย่างช้าๆ จะช่วยให้คุณมีใจจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน และช่วยเพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
อันดับที่ 7. สร้างเสียงหัวเราะ
การหัวเราะ คือยาขนานเอก (ที่ไม่ต้องเสียตังค์ศื้อซะด้วย).. เพิ่มเสียงหัวเราะและความอารมณ์ดี ได้ด้วยการดูหนังตลกๆ หรือพกหนังสือตลกๆ ติดไม้ติดมือเอาไว้อ่านยามว่าง ยิ่งไปกว่านั้น การได้หัวเราะออกมาแบบสุดๆ (ขนาดพุงกระเพื่อม) จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และช่วยให้คุณมองเห็นมุมมอง ในการแก้ไขปัญหา ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส... วันนี้คุณหัวเราะแล้วหรือยัง?
อันดับที่ 6. เข้าหาธรรมชาติ
ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ นั่งเล่นสบายๆที่น้ำพุ สูดอากาศบริสุทธ์ ปลูกต้นไม้สวยๆ ที่ระเบียงบ้าน ออกไปเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัดเพื่อชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงาม ทั้งน้ำตก ขุนเขา และท้องทะเล พลังที่มีอยู่ในธรรมชาติ จะช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้กับคุณ
อันดับที่ 5. ออกกำลังกาย
เริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยการทำอะไรอย่างกระฉับกระเฉง เพื่อให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หรือถ้าทำงานจนไม่มีเวลา ก็ลองการออกกำลังกายแบบใหม่ๆ อย่างเช่น วันไหน ที่รถติดมาก ก็ลองลงรถเมล์ก่อนถึงบ้านสัก 2 ป้าย แล้วเดินกลับบ้าน นี่เป็นการออกกำลังกายอย่างง่ายๆ โดยไม่เสียเวลา
หรือยามมีเวลาว่างในวันหยุดพักผ่อน ก็อาจจะออกไปวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือปั่นจักรยานตามสวนสาธารณะ.... ร่างกายที่แข็งแรง จะส่งผลให้กลไกต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี และมีสภาพจิตใตที่ดีขึ้นตามมา
อันดับที่ 4. นึกถึงเรื่องราวดีๆ
รำลึกถึงช่วงเวลาๆ ดี ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เช่น ช่วงเวลาสนุกๆ ระหว่างเพื่อนสนิท ช่วงเวลาแห่งความสุข ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนแฟน หรือ ช่วงเวลาของความอบอุ่นภายในครอบครัว หยิบรูปเก่าๆ ขึ้นมาดูบ้าง เมื่อมีโอกาส เปิดดูการ์ดเก่าๆ ที่เคยมีคนเขียนข้อความดีๆ เอาไว้ให้ แล้วยิ้มกับมันอีกครั้ง รับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ว่ายังมีคนที่ห่วงใยคุณอยู่
อันดับที่ 3. เห็นคุณค่าในตัวเอง
แยกรายการสิ่งที่คุณคิดว่ายอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของคุณ ออกมาสัก 3 -5 หัวข้อ พิจารณาดูแต่ละเรื่อง ว่าสิ่งไหนที่ทำแล้ว จะส่งผลดีๆ ให้กับชีวิต ได้ทำสิ่งที่ชอบและเกิดผลดีไปพร้อมๆ กัน จะช่วยสร้างกำลังใจ และแรงผลักดันให้ทำสิ่งต่างๆ อย่างมีความสุข
อันดับที่ 2. เพิ่มความใส่ใจลงไปในสิ่งที่ชอบ
ไม่ว่าจะชอบอะไร... ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว แต่งรถ ชอปปิ๊ง ตกแต่งบ้าน ฯลฯ... การให้ความใส่ใจเพิ่มเติม ถึงสิ่งที่เราชอบอย่างจริงๆ จังๆ จะสามารถช่วยลดความรู้สึกเบื่อ และเสริมสร้างกำลังใจ'>เสริมสร้างกำลังใจให้กับชีวิต ได้อย่างตรงประเด็น
อันดับที่ 1. รู้จักกล่าวคำขอโทษ
ความรู้สึกละอายใจ และเสียใจ จาการที่เรากระทำความผิด สามารถสร้างความกังวลใจให้เกิดขึ้นได้มาก
ดังนั้น การรู้จักกล่าวคำขอโทษด้วยความจริงใจ หลังจากที่คุณทำผิดกับผู้อื่น จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย เหมือนการปลดปล่อยภาระในตัวออกไป
การหายใจของคนเราเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นลึกลงไปใน ‘จิตใต้สำนึก’ เสียด้วยซ้ำ... ศาสตร์ทั้งในตะวันออก และตะวันตก ได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า ถ้าเราสามารถรับรู้ถึงจังหวะการหายใจ และหายใจด้วยวิธีที่ถูกต้อง ก็จะมีส่วนช่วยในการลดความตึงเครียดลงได้มาก
เพียงแค่ฝึกการหายใจเข้า – ออก อย่างช้าๆ จะช่วยให้คุณมีใจจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน และช่วยเพิ่มสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
อันดับที่ 7. สร้างเสียงหัวเราะ
การหัวเราะ คือยาขนานเอก (ที่ไม่ต้องเสียตังค์ศื้อซะด้วย).. เพิ่มเสียงหัวเราะและความอารมณ์ดี ได้ด้วยการดูหนังตลกๆ หรือพกหนังสือตลกๆ ติดไม้ติดมือเอาไว้อ่านยามว่าง ยิ่งไปกว่านั้น การได้หัวเราะออกมาแบบสุดๆ (ขนาดพุงกระเพื่อม) จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และช่วยให้คุณมองเห็นมุมมอง ในการแก้ไขปัญหา ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส... วันนี้คุณหัวเราะแล้วหรือยัง?
อันดับที่ 6. เข้าหาธรรมชาติ
ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ นั่งเล่นสบายๆที่น้ำพุ สูดอากาศบริสุทธ์ ปลูกต้นไม้สวยๆ ที่ระเบียงบ้าน ออกไปเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัดเพื่อชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงาม ทั้งน้ำตก ขุนเขา และท้องทะเล พลังที่มีอยู่ในธรรมชาติ จะช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้กับคุณ
อันดับที่ 5. ออกกำลังกาย
เริ่มต้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยการทำอะไรอย่างกระฉับกระเฉง เพื่อให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หรือถ้าทำงานจนไม่มีเวลา ก็ลองการออกกำลังกายแบบใหม่ๆ อย่างเช่น วันไหน ที่รถติดมาก ก็ลองลงรถเมล์ก่อนถึงบ้านสัก 2 ป้าย แล้วเดินกลับบ้าน นี่เป็นการออกกำลังกายอย่างง่ายๆ โดยไม่เสียเวลา
หรือยามมีเวลาว่างในวันหยุดพักผ่อน ก็อาจจะออกไปวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือปั่นจักรยานตามสวนสาธารณะ.... ร่างกายที่แข็งแรง จะส่งผลให้กลไกต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี และมีสภาพจิตใตที่ดีขึ้นตามมา
อันดับที่ 4. นึกถึงเรื่องราวดีๆ
รำลึกถึงช่วงเวลาๆ ดี ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เช่น ช่วงเวลาสนุกๆ ระหว่างเพื่อนสนิท ช่วงเวลาแห่งความสุข ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนแฟน หรือ ช่วงเวลาของความอบอุ่นภายในครอบครัว หยิบรูปเก่าๆ ขึ้นมาดูบ้าง เมื่อมีโอกาส เปิดดูการ์ดเก่าๆ ที่เคยมีคนเขียนข้อความดีๆ เอาไว้ให้ แล้วยิ้มกับมันอีกครั้ง รับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ว่ายังมีคนที่ห่วงใยคุณอยู่
อันดับที่ 3. เห็นคุณค่าในตัวเอง
แยกรายการสิ่งที่คุณคิดว่ายอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของคุณ ออกมาสัก 3 -5 หัวข้อ พิจารณาดูแต่ละเรื่อง ว่าสิ่งไหนที่ทำแล้ว จะส่งผลดีๆ ให้กับชีวิต ได้ทำสิ่งที่ชอบและเกิดผลดีไปพร้อมๆ กัน จะช่วยสร้างกำลังใจ และแรงผลักดันให้ทำสิ่งต่างๆ อย่างมีความสุข
อันดับที่ 2. เพิ่มความใส่ใจลงไปในสิ่งที่ชอบ
ไม่ว่าจะชอบอะไร... ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว แต่งรถ ชอปปิ๊ง ตกแต่งบ้าน ฯลฯ... การให้ความใส่ใจเพิ่มเติม ถึงสิ่งที่เราชอบอย่างจริงๆ จังๆ จะสามารถช่วยลดความรู้สึกเบื่อ และเสริมสร้างกำลังใจ'>เสริมสร้างกำลังใจให้กับชีวิต ได้อย่างตรงประเด็น
อันดับที่ 1. รู้จักกล่าวคำขอโทษ
ความรู้สึกละอายใจ และเสียใจ จาการที่เรากระทำความผิด สามารถสร้างความกังวลใจให้เกิดขึ้นได้มาก
ดังนั้น การรู้จักกล่าวคำขอโทษด้วยความจริงใจ หลังจากที่คุณทำผิดกับผู้อื่น จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย เหมือนการปลดปล่อยภาระในตัวออกไป
วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554
โรคแพ้อากาศ
โรคแพ้อากาศเป็นอย่างไร
โรคแพ้อากาศ เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย มากที่สุดโรคหนึ่ง ความจริงแล้วชื่อที่เรียกกันมาตั้งแต่อดีตไม่เหมาะสมเพราะสื่อความหมายได้ไม่ดี(อากาศเป็นก๊าซต่าง ๆ ในธรรมชาติรวมกันอยู่ไม่มีปัญหากับจมูก) ในทางการแพทย์ปัจจุบัน ถ้าจะแปลความหมาย ให้ตรงกับชื่อโรคในภาษาอังกฤษ คือ Allergic rhinitis ก็คงต้องแปลเป็นภาษาไทยว่า "โพรงจมูกอักเสบ จากการแพ้" แต่ก็ยาวเกินไป และไม่สะดวกในเรียกใช้
จมูกเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของระบบทางเดินหายใจ เพื่อใช้กรองฝุ่น หรือสิ่งแปลกปลอม โดยติดที่ขนจมูก และใช้ปรับอุณหภูมิของร่างกาย ก่อนที่จะผ่านลงไปสู่หลอดลม เยื่อจมูกยังมีหน้าที่ผลิตสารเยื่อเมือก เพื่อป้องกันสิ่ง แปลกปลอม
โพรงจมูกอักเสบ การที่โพรงจมูกเกิดการ อักเสบขึ้น ทำให้มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จาม คันจมูก ซึ่งจริง ๆ แล้วมีสาเหตุมากมายที่จะทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้ เช่น
โรคแพ้อากาศ (โพรงจมูกอักเสบจากการแพ้)
โพรงจมูกอักเสบจากเชื้อโรค
ไวรัส เรียกว่า หวัด
เชื้อแบคทีเรีย
โพรงจมูกอักเสบ จากยาบางชนิด เช่น ฮอร์โมนบางชนิด ยาลดความดันโลหิตบางชนิด
โพรงจมูกอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุ
บางครั้งโพรงจมูกอักเสบ อาจเป็นอาการนำของโรคร้ายแรง บางโรคได้ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงโรคแพ้อากาศโดยละเอียด
โรคแพ้อากาศ คือโรคที่เกิดจากเยื่อบุโพรงจมูกสัมผัสสาร ก่อภูมิแพ้เป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งเกิดอาการของโรคขึ้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการคันจมูก คัดจมูกหายใจไม่สะดวก น้ำมูกไหลอาจจะกระแอมบ่อย ๆ เนื่องจากมีน้ำมูกไหลลงคอ อาการคัดจมูกถ้าเป็นมาก ผู้ป่วยบางคนจะใช้มือดันจมูกขึ้น เมื่อทำบ่อย ๆ จะเกิดรอยขาว ๆ ขึ้นที่สันจมูก
โรคแพ้อากาศก็เป็นโรคหนึ่ง ซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม มักจะมีประวัติความเจ็บป่วยแบบเดียวกัน ในครอบครัว ได้เช่นกัน
อาการเบื้องต้นของการแพ้อากาศ
ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล คันจมูก ชอบขยี้จมูกจนเกิดรอยบริเวณสันจมูก มีเสมหะในคอ เลือดกำเดาไหลบ่อย และอาจพบอาการคันตา แสบตา น้ำมูกไหล คันหู หูอื้อได้ ผู้ป่วยมักมีอาการดังกล่าวเวลาสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความชื้นในอากาศ แต่เราต้องสังเกตอาการหน่อยเพราะโรคแพ้อากาศจะคล้ายกับไข้หวัด กล่าวคือ อาการของไข้หวัดจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ช่วงแรกจะใส ต่อมาจะข้น ระยะเวลาเป็นนาน 3-10 วัน มีไข้หรือไม่มีก็ได้ มีจามบ้างโดยไม่มีอาการคันจมูก ส่วนโรคแพ้อากาศจะมีอาการคันจมูก ร่วมกับน้ำมูกใส ๆ มีอาการคันตา น้ำตาไหล ไม่มีไข้ ซึ่งส่วนมากมักจะมีอาการมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป
ผู้ป่วยควรพบแพทย์เมื่ออาการเข้าได้กับโรคแพ้อากาศดังที่กล่าวมาแล้ว หรือไม่แน่ใจว่าเป็นโรคแพ้อากาศหรือไม่ เมื่อไปพบแพทย์นอกจากการซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว การตรวจที่ช่วยยืนยันว่าเป็นโรคแพ้อากาศหรือไม่ และแพ้อะไรบ้าง คือการทดสอบทางผิวหนังและการตรวจเลือด ซึ่งผลการตรวจเลือดมีค่าใช้จ่ายสูง และไม่ทราบผลทันที ปัจจุบันนิยมใช้การตรวจทางผิวหนังเป็นหลัก สามารถช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีโรคที่พบร่วมกับโรคแพ้อากาศ ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ น้ำคั่งในหูชั้นกลาง โรคหืดหอบ เจ็บคอ ไอเรื้อรัง ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก การกรน รวมทั้งภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับอีกด้วย
หลักการรักษา
ในปัจจุบันจะมี 3 ลักษณะ คือ การกำจัดและหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้และการดูแลรักษาสุขภาพตนเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด การรักษาด้วยยากินและยาพ่นจมูก นอกจากนี้ยังมีการฉีดวัคซีน สำหรับระยะเวลาในการรักษาไม่สามารถบอกได้ชัดเจน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยว่าสามารถหลีกเลี่ยง ป้องกันและดูแลได้มากน้อยแค่ไหน หากจำเป็นต้องใช้ยาพ่นจมูก ซึ่งสามารถช่วยลดอาการได้ โดยส่วนมากใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน หรือฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ใช้เวลา 3-5 ปีแล้วแต่บุคคล โรคแพ้อากาศสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นอีก ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยและความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย
วิธีป้องกันโรคแพ้อากาศ
การป้องกันต้องอาศัยความร่วมมือทั้งผู้ป่วยและแพทย์ในการติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ การดูแลตนเองของผู้ป่วยและดูแลสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม จะช่วยทำให้อาการของโรคทุเลาลงมากจนไม่มีอาการเลย ผู้ที่เป็นโรคแพ้อากาศ สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติและอยู่ร่วมในสิ่งแวดล้อมเดียวกับผู้อื่นได้ ถ้าสามารถปฏิบัติตัวดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.
โรคแพ้อากาศ เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย มากที่สุดโรคหนึ่ง ความจริงแล้วชื่อที่เรียกกันมาตั้งแต่อดีตไม่เหมาะสมเพราะสื่อความหมายได้ไม่ดี(อากาศเป็นก๊าซต่าง ๆ ในธรรมชาติรวมกันอยู่ไม่มีปัญหากับจมูก) ในทางการแพทย์ปัจจุบัน ถ้าจะแปลความหมาย ให้ตรงกับชื่อโรคในภาษาอังกฤษ คือ Allergic rhinitis ก็คงต้องแปลเป็นภาษาไทยว่า "โพรงจมูกอักเสบ จากการแพ้" แต่ก็ยาวเกินไป และไม่สะดวกในเรียกใช้
จมูกเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของระบบทางเดินหายใจ เพื่อใช้กรองฝุ่น หรือสิ่งแปลกปลอม โดยติดที่ขนจมูก และใช้ปรับอุณหภูมิของร่างกาย ก่อนที่จะผ่านลงไปสู่หลอดลม เยื่อจมูกยังมีหน้าที่ผลิตสารเยื่อเมือก เพื่อป้องกันสิ่ง แปลกปลอม
โพรงจมูกอักเสบ การที่โพรงจมูกเกิดการ อักเสบขึ้น ทำให้มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จาม คันจมูก ซึ่งจริง ๆ แล้วมีสาเหตุมากมายที่จะทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้ เช่น
โรคแพ้อากาศ (โพรงจมูกอักเสบจากการแพ้)
โพรงจมูกอักเสบจากเชื้อโรค
ไวรัส เรียกว่า หวัด
เชื้อแบคทีเรีย
โพรงจมูกอักเสบ จากยาบางชนิด เช่น ฮอร์โมนบางชนิด ยาลดความดันโลหิตบางชนิด
โพรงจมูกอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุ
บางครั้งโพรงจมูกอักเสบ อาจเป็นอาการนำของโรคร้ายแรง บางโรคได้ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงโรคแพ้อากาศโดยละเอียด
โรคแพ้อากาศ คือโรคที่เกิดจากเยื่อบุโพรงจมูกสัมผัสสาร ก่อภูมิแพ้เป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งเกิดอาการของโรคขึ้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการคันจมูก คัดจมูกหายใจไม่สะดวก น้ำมูกไหลอาจจะกระแอมบ่อย ๆ เนื่องจากมีน้ำมูกไหลลงคอ อาการคัดจมูกถ้าเป็นมาก ผู้ป่วยบางคนจะใช้มือดันจมูกขึ้น เมื่อทำบ่อย ๆ จะเกิดรอยขาว ๆ ขึ้นที่สันจมูก
โรคแพ้อากาศก็เป็นโรคหนึ่ง ซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม มักจะมีประวัติความเจ็บป่วยแบบเดียวกัน ในครอบครัว ได้เช่นกัน
อาการเบื้องต้นของการแพ้อากาศ
ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล คันจมูก ชอบขยี้จมูกจนเกิดรอยบริเวณสันจมูก มีเสมหะในคอ เลือดกำเดาไหลบ่อย และอาจพบอาการคันตา แสบตา น้ำมูกไหล คันหู หูอื้อได้ ผู้ป่วยมักมีอาการดังกล่าวเวลาสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความชื้นในอากาศ แต่เราต้องสังเกตอาการหน่อยเพราะโรคแพ้อากาศจะคล้ายกับไข้หวัด กล่าวคือ อาการของไข้หวัดจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ช่วงแรกจะใส ต่อมาจะข้น ระยะเวลาเป็นนาน 3-10 วัน มีไข้หรือไม่มีก็ได้ มีจามบ้างโดยไม่มีอาการคันจมูก ส่วนโรคแพ้อากาศจะมีอาการคันจมูก ร่วมกับน้ำมูกใส ๆ มีอาการคันตา น้ำตาไหล ไม่มีไข้ ซึ่งส่วนมากมักจะมีอาการมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป
ผู้ป่วยควรพบแพทย์เมื่ออาการเข้าได้กับโรคแพ้อากาศดังที่กล่าวมาแล้ว หรือไม่แน่ใจว่าเป็นโรคแพ้อากาศหรือไม่ เมื่อไปพบแพทย์นอกจากการซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว การตรวจที่ช่วยยืนยันว่าเป็นโรคแพ้อากาศหรือไม่ และแพ้อะไรบ้าง คือการทดสอบทางผิวหนังและการตรวจเลือด ซึ่งผลการตรวจเลือดมีค่าใช้จ่ายสูง และไม่ทราบผลทันที ปัจจุบันนิยมใช้การตรวจทางผิวหนังเป็นหลัก สามารถช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีโรคที่พบร่วมกับโรคแพ้อากาศ ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ น้ำคั่งในหูชั้นกลาง โรคหืดหอบ เจ็บคอ ไอเรื้อรัง ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก การกรน รวมทั้งภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับอีกด้วย
หลักการรักษา
ในปัจจุบันจะมี 3 ลักษณะ คือ การกำจัดและหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้และการดูแลรักษาสุขภาพตนเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด การรักษาด้วยยากินและยาพ่นจมูก นอกจากนี้ยังมีการฉีดวัคซีน สำหรับระยะเวลาในการรักษาไม่สามารถบอกได้ชัดเจน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยว่าสามารถหลีกเลี่ยง ป้องกันและดูแลได้มากน้อยแค่ไหน หากจำเป็นต้องใช้ยาพ่นจมูก ซึ่งสามารถช่วยลดอาการได้ โดยส่วนมากใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน หรือฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ใช้เวลา 3-5 ปีแล้วแต่บุคคล โรคแพ้อากาศสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นอีก ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยและความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย
วิธีป้องกันโรคแพ้อากาศ
การป้องกันต้องอาศัยความร่วมมือทั้งผู้ป่วยและแพทย์ในการติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ การดูแลตนเองของผู้ป่วยและดูแลสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม จะช่วยทำให้อาการของโรคทุเลาลงมากจนไม่มีอาการเลย ผู้ที่เป็นโรคแพ้อากาศ สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติและอยู่ร่วมในสิ่งแวดล้อมเดียวกับผู้อื่นได้ ถ้าสามารถปฏิบัติตัวดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วิธีการปลูกต้นรัก
ความรักกับการปลูกต้นไม้หรือเรียกกันอีกอย่างว่า “ต้นรัก” เราจะมีวิธีปลูกกันอย่างไรดี
เลือกเมล็ดพันธุ์ = การเลือกคนรัก
ขั้นตอนแรกของการปลูกต้นรักคือการเลือกเมล็ดพันธุ์หรือการหาคนที่เราจะปลูกต้นรักด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีข้อกำหนดหรือว่าขั้นตอนที่แน่นอน เพราะความชอบที่แตกต่างทำให้เกิดความหลากหลายในการเลือกสรรเกิดขึ้น บางคนก็ใช่ว่าจะเจอหรือได้คบคนในสเป็คเสมอไป ซึ่งการเลือกหาคนรักนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รักแรกพบ, รักซึมลึก, รักเพื่อนสนิท, รักแบบไม่รู้ตัว, รักเมื่อสายเสียแล้ว เมล็ดพันธุ์เหล่านี้หาได้ไม่ยากแต่ยากตอนจะเริ่มลงมือปลูกครับ
หว่านเมล็ดลงดิน รดน้ำ = เจอคนที่ใช่ เริ่มทุ่มเทกับความรักด้วยการใส่ใจดูแล
ขั้นตอนที่สองของการปลูกต้นรักคือหลังจากเราได้ตกลงปลงใจที่จะเลือกใครสักคนมาร่วมปลูกต้นรักกับเราแล้ว ลำดับถัดมาคือการ “จีบ” นั่นเอง ซึ่งไม่ต่างกับการหว่านเมล็ดลงดิน รดน้ำ เพื่อจะให้ต้นรักของเราเจริญเติบโตงอกงามขึ้นมา ความทุ่มเทใส่ใจดูแลด้วยความรักให้กับคนที่เราจีบนั้น ใช่ว่าจะสำเร็จสวยงามเสมอไป ต้นรักบางต้นก็ตายตั้งแต่ยังเป็นเมล็ด หรือต้นรักบางต้นอาจจะแค่กำลังจะผุดขึ้นมาบนดินก็ตายไปซะก่อนก็มีให้เห็นในหลายๆ คู่ แต่อยากให้คนที่ปลูกต้นรักมือใหม่หรือว่ามืออาชีพคิดไว้เสมอว่า เมื่อคิดจะปลูกต้นรักแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าความรักจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อยในใจลึกๆ เราก็รู้ว่าเราได้ทุ่มเทเต็มที่กับความรักครั้งนี้นั่นเอง
ใส่ปุ๋ย พรวนดิน = ทะนุถนอมความรัก
เมื่อต้นรักของคุณเจริญเติมโตขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการถนอมความรักให้ยิ่งเติบโต เติบใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ผลิดอกออกผลเป็นร่มเงาใจให้กับคุณทั้งสองคน ซึ่งการทะนุถนอมความรักก็ไม่ต่างกับการใส่ปุ๋ยให้กับต้นรักของคุณ ต้องรู้จักแสดงความรัก ความห่วงใย ให้ความสำคัญกับวันพิเศษต่างๆ เพื่อให้ความรักยังสดใส เติมความหวานให้กันและกันเพื่อความรักที่ยั่งยืนมั่นคง
ยาฆ่าแมลง = ความซื่อสัตย์
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ขาดไม่ได้สำหรับการปลูกต้นรักก็คือการพ่นยาฆ่าแมลงที่เรียกว่าความซื่อสัตย์นั่นเอง เพราะต่อให้ความรักของคุณ ยืนต้นสวยงามขนาดไหน แต่ถ้าคุณปล่อยให้มีแมลงตัวอื่นเข้ามากัดกินหรือทำลายต้นรักของคุณ เช่นเรื่องของการมีกิ๊ก มีชู้ นอกใจแล้ว แมลงเหล่านี้อาจทำให้ต้นรักของคุณตายได้ โดยที่คุณอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ ใครๆ เขาก็ทำกัน แต่เชื่อเถอะครับ ไม่มีใครรับได้กับเรื่องของการนอกใจหรือการมีมือที่สามแน่นอนครับ
ต้นรักเป็นเพียงแค่คำเปรียบเทียบกับความรักของคุณสองคน ต้นรักหรือความรักเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสได้จากคนสองคน ดังนั้นต้นรักจะเติบโต สวยงาม แข็งแรงได้ดีเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับความรักของคนสองคนที่จะช่วยดูแลต้นไม้ต้นนี้ไปด้วยกัน แม้วันไหนที่ชีวิตเจอปัญหาหรือว่าอุปสรรคหนักหนาเพียงใด คุณก็จะมั่นใจได้ว่า วันที่คุณเหนื่อยล้าจากโลกภายนอก คุณยังจะมีต้นรักให้คุณมาพักพิง เอนกายพักผ่อน รวมถึงได้ร่มเงาแห่งต้นรักคอยบังแดดบังฝนให้คุณ ยิ่งถ้าคุณมีดอกผลของความรักด้วยกันแล้วล่ะก็ คุณจะมีกำลังใจในการมีชีวิตหรือใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความหมายเลยล่ะครับ ขอให้แฟนนัดเดทมีต้นรักที่สวยงามกันทุกคนนะครับ
เลือกเมล็ดพันธุ์ = การเลือกคนรัก
ขั้นตอนแรกของการปลูกต้นรักคือการเลือกเมล็ดพันธุ์หรือการหาคนที่เราจะปลูกต้นรักด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีข้อกำหนดหรือว่าขั้นตอนที่แน่นอน เพราะความชอบที่แตกต่างทำให้เกิดความหลากหลายในการเลือกสรรเกิดขึ้น บางคนก็ใช่ว่าจะเจอหรือได้คบคนในสเป็คเสมอไป ซึ่งการเลือกหาคนรักนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รักแรกพบ, รักซึมลึก, รักเพื่อนสนิท, รักแบบไม่รู้ตัว, รักเมื่อสายเสียแล้ว เมล็ดพันธุ์เหล่านี้หาได้ไม่ยากแต่ยากตอนจะเริ่มลงมือปลูกครับ
หว่านเมล็ดลงดิน รดน้ำ = เจอคนที่ใช่ เริ่มทุ่มเทกับความรักด้วยการใส่ใจดูแล
ขั้นตอนที่สองของการปลูกต้นรักคือหลังจากเราได้ตกลงปลงใจที่จะเลือกใครสักคนมาร่วมปลูกต้นรักกับเราแล้ว ลำดับถัดมาคือการ “จีบ” นั่นเอง ซึ่งไม่ต่างกับการหว่านเมล็ดลงดิน รดน้ำ เพื่อจะให้ต้นรักของเราเจริญเติบโตงอกงามขึ้นมา ความทุ่มเทใส่ใจดูแลด้วยความรักให้กับคนที่เราจีบนั้น ใช่ว่าจะสำเร็จสวยงามเสมอไป ต้นรักบางต้นก็ตายตั้งแต่ยังเป็นเมล็ด หรือต้นรักบางต้นอาจจะแค่กำลังจะผุดขึ้นมาบนดินก็ตายไปซะก่อนก็มีให้เห็นในหลายๆ คู่ แต่อยากให้คนที่ปลูกต้นรักมือใหม่หรือว่ามืออาชีพคิดไว้เสมอว่า เมื่อคิดจะปลูกต้นรักแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าความรักจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อยในใจลึกๆ เราก็รู้ว่าเราได้ทุ่มเทเต็มที่กับความรักครั้งนี้นั่นเอง
ใส่ปุ๋ย พรวนดิน = ทะนุถนอมความรัก
เมื่อต้นรักของคุณเจริญเติมโตขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการถนอมความรักให้ยิ่งเติบโต เติบใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ผลิดอกออกผลเป็นร่มเงาใจให้กับคุณทั้งสองคน ซึ่งการทะนุถนอมความรักก็ไม่ต่างกับการใส่ปุ๋ยให้กับต้นรักของคุณ ต้องรู้จักแสดงความรัก ความห่วงใย ให้ความสำคัญกับวันพิเศษต่างๆ เพื่อให้ความรักยังสดใส เติมความหวานให้กันและกันเพื่อความรักที่ยั่งยืนมั่นคง
ยาฆ่าแมลง = ความซื่อสัตย์
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ขาดไม่ได้สำหรับการปลูกต้นรักก็คือการพ่นยาฆ่าแมลงที่เรียกว่าความซื่อสัตย์นั่นเอง เพราะต่อให้ความรักของคุณ ยืนต้นสวยงามขนาดไหน แต่ถ้าคุณปล่อยให้มีแมลงตัวอื่นเข้ามากัดกินหรือทำลายต้นรักของคุณ เช่นเรื่องของการมีกิ๊ก มีชู้ นอกใจแล้ว แมลงเหล่านี้อาจทำให้ต้นรักของคุณตายได้ โดยที่คุณอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ ใครๆ เขาก็ทำกัน แต่เชื่อเถอะครับ ไม่มีใครรับได้กับเรื่องของการนอกใจหรือการมีมือที่สามแน่นอนครับ
ต้นรักเป็นเพียงแค่คำเปรียบเทียบกับความรักของคุณสองคน ต้นรักหรือความรักเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสได้จากคนสองคน ดังนั้นต้นรักจะเติบโต สวยงาม แข็งแรงได้ดีเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับความรักของคนสองคนที่จะช่วยดูแลต้นไม้ต้นนี้ไปด้วยกัน แม้วันไหนที่ชีวิตเจอปัญหาหรือว่าอุปสรรคหนักหนาเพียงใด คุณก็จะมั่นใจได้ว่า วันที่คุณเหนื่อยล้าจากโลกภายนอก คุณยังจะมีต้นรักให้คุณมาพักพิง เอนกายพักผ่อน รวมถึงได้ร่มเงาแห่งต้นรักคอยบังแดดบังฝนให้คุณ ยิ่งถ้าคุณมีดอกผลของความรักด้วยกันแล้วล่ะก็ คุณจะมีกำลังใจในการมีชีวิตหรือใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความหมายเลยล่ะครับ ขอให้แฟนนัดเดทมีต้นรักที่สวยงามกันทุกคนนะครับ
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เพิ่งรู้จัก...คุยอะไรดี
เอ่อ...คือว่า.....” อย่ามัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ เวลาที่จะจีบใครสักคน ต้องมีการเตรียมตัว คล้ายๆ กับเวลาที่คุณไปสอบสัมภาษณ์งาน ฉะนั้นแล้ว หากคุณปิ๊งใครคนหนึ่งอยู่ และขอเบอร์โทรศัพท์ ของเขาหรือเธอคนนั้นมาได้ในที่สุด คุณยังไม่ควรรีบร้อนโทรไปจีบ โดยที่ยังไม่ได้มีการเตรียมตัว ว่าจะคุยประเด็นเรื่องอะไรดี
หากคุณไม่ได้หล่อ-สวยมาก หรือรวยมาก หรือเป็นระดับคาสโนว่า ที่ดึงดูดใจให้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเปิดบทสนทนากับคุณก่อน คำแนะนำต่อไปนี้ เป็นการเตรียมตัวเบื้องต้น ที่จะช่วยให้บทสนทนาของคุณไหลลื่นไปได้
1.ครอบครัว ชวนคุยเรื่องครอบครัว เป็นการทำความรู้จักกันอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ตามมารยาทแล้ว ถ้าจะคุยกันในประเด็นนี้ คุณต้องเล่าเรื่องราวของครอบครัวคุณ ให้ฝ่ายตรงข้ามฟังก่อน แต่อย่างไรก็ตาม คุณต้องสังเกตน้ำเสียง และท่าที ของฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน ว่าเขาหรือเธอ สะดวกที่จะพูดคุยถึงเรื่องครอบครัวหรือไม่ ถ้าหากเขาหรือเธอไม่สะดวก ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที
2.การศึกษา คุยกันเรื่องการศึกษา เพื่อทำความรู้จักพื้นฐานความรู้ของแต่ละฝ่ายกันก่อน ตัดความรู้สึกเรื่อง สถาบันของผมเก่งกว่าสถาบันของคุณ หรือสถาบันของชั้นเก่งกว่าสถาบันของนายออกไป แต่คุยในประเด็นอย่างเช่น ชอบเรียนวิชาอะไรบ้าง ตอนสมัยเรียนได้ทำกิจกรรมอะไร ที่สนุกๆ บ้างไหม คุยกันไป คุยกันมา อาจจะพบว่า มีเรื่องที่สนใจคล้ายๆ กัน หรืออย่างน้อยๆ ก็ทำให้ ได้รู้จักตัวตนของแต่ละฝ่าย เพิ่มมากขึ้นไปอีก
3.การงาน ถามได้ แต่ว่า ขอความกรุณาอย่าเพิ่งไปถามเรื่องเงินเดือนเป็นเด็ดขาด และถ้าเงินเดือนของคุณอยู่ในระดับสูง ก็ไม่ควรพูดโอ้อวดเกี่ยวกับเงินเดือนของคุณ เช่นเดียวกัน ประเด็นสำหรับคุยเกี่ยวกับเรื่องการงาน มีทั้งเรื่อง ความถนัดของคุณ เรื่องประทับใจในที่ทำงาน หรือเรื่องแย่สุดๆ ในที่ทำงาน ที่คุณอยากจะเม้าท์
4.ความชอบ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องสี คุณชอบสีอะไร? คุณถูกโฉลกกับสีไหน? หรือคุยกันเรื่องสัตว์เลี้ยง เลี้ยงสนุข เลี้ยงแมว เลี้ยงปลา ฯลฯ และมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง
5.หนัง,ละคร,เพลง เป็นอีกเรื่องสำคัญที่จะทำให้รู้ตัวตนของเค้า ไม่ว่าจะเป็น แนวเพลงที่ชอบ ป๊อป,ร็อค,แจ๊ส,ฮิพฮอพ หนังก็มีหลายประเภท ตั้งแต่ดราม่าน้ำตาแตก ทริลเลอร์เขย่าขวัญ รักโรแมนติก เมื่อ รู้แนวที่ชอบของแต่ละฝ่าย ต่อไปเมื่อมีการพัฒนาสายสัมพันธ์ ไปดูหนังด้วยกัน จะได้เลือกดูเรื่องที่ถูกใจ
6.กิจกรรมยามว่าง นอกจากหนัง,ละครและเพลงแล้ว กิจกรรมยามว่างอื่นๆ ก็มีอีก เช่น เล่นกีฬา วาดรูป ท่องเที่ยว เข้าวัด ทำบุญ.... คุยเรื่องกิจกรรมยามว่างที่คุณสนใจ และเสนอแนะเขาหรือเธอว่า ไปเที่ยวที่นี่กันดีมั้ย ไปทำกิจกรรมที่นั่นกันดีมั้ย? หรือชวนกันแลกเปลี่ยนไอเดีย และหาข้อสรุป ว่าจะทำกิจกรรมอะไรดี ที่จะได้สนุกร่วมกัน
7.ไสยศาสตร์และการดูดวง ลองเกริ่นๆ ดูก่อน ว่าเขาหรือเธอ สนใจ และมีความเชื่อเรื่องการดูดวงหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่ชอบการทำนายทายทัก หรือดูดวงชะตาชีวิต ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนถึงศาสตร์ในเรื่องนี้กัน หรือยามมีเวลาว่าง ชวนกันไปดูดวง ก็เข้าท่า
8.ทำบุญ ทุกศาสนามีพิธีกรรมต่างๆ และรูปแบบการทำบุญที่แตกต่างกันออกไป การไปทำบุญด้วยกัน ช่วยทำให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลายลงได้ และช่วยทำให้รักอย่างมีสติ ลองชวนคนที่คุณกำลังจีบอยู่ ไปทำบุญด้วยกัน ถ้าเค้าไป แสดงว่า ส่วนหนึ่งในจิตใจเค้า เชื่อในการทำความดี แต่ถ้าเค้าไม่ไป ก็ไม่ต้องรีบร้อน รอให้เค้าว่างๆ ก่อน ค่อยชวนไปใหม่ อีกรอบก็ได้
9.ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว มีทั้ง กลางวัน และกลางคืน กลางวัน ก็มี สวนสาธารณะ ห้างสรรพค้า สวนสนุก สวนสัตว์ หอศิลป์ ฯลฯ ส่วนสถานที่เที่ยวกลางคืน ก็ไปที่ที่มีความเหมาะสม เช่นร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ริมน้ำเจ้าพระยา ตลาดนัดกลางคืน ที่สะพานพุทธ ถามคนที่คุณกำลังจีบว่า เขาหรือเธอ ชอบสถานที่ ท่องเที่ยว ที่มีบรรยากาศ แบบไหน... เป็นธรรมชาติ? แหล่งช๊อปปิ้ง? แหล่งอาหารอร่อย? เมื่อรู้ใจในเบื้องต้นกันแล้ว ก็เหลือแค่ หาเวลาว่างไปเที่ยวด้วยกัน
10.ความลับ ลองบอกกับคนที่ คุณกำลังจีบอยู่ว่า "เรื่องที่ผมพูดออกไปนี่ เก็บไว้เป็นความลับด้วยนะครับ" เพื่อดูว่า ฝ่ายตรงข้าม จะรักษาความลับของคุณ เอาไว้ได้หรือไม่ ถือเป็นการเล่นอะไรสนุกๆ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องที่คุณพูดออกไป อาจไม่ใช่ความลับ ที่สลักสำคัญอะไรมากก็ได้ หรือว่า ลองเกลี้ยกล่อมฝ่ายตรงข้าม ให้เขาหรือเธอ บอกความลับกับคุณบ้าง
credit:teenee.com
หากคุณไม่ได้หล่อ-สวยมาก หรือรวยมาก หรือเป็นระดับคาสโนว่า ที่ดึงดูดใจให้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเปิดบทสนทนากับคุณก่อน คำแนะนำต่อไปนี้ เป็นการเตรียมตัวเบื้องต้น ที่จะช่วยให้บทสนทนาของคุณไหลลื่นไปได้
1.ครอบครัว ชวนคุยเรื่องครอบครัว เป็นการทำความรู้จักกันอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ตามมารยาทแล้ว ถ้าจะคุยกันในประเด็นนี้ คุณต้องเล่าเรื่องราวของครอบครัวคุณ ให้ฝ่ายตรงข้ามฟังก่อน แต่อย่างไรก็ตาม คุณต้องสังเกตน้ำเสียง และท่าที ของฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน ว่าเขาหรือเธอ สะดวกที่จะพูดคุยถึงเรื่องครอบครัวหรือไม่ ถ้าหากเขาหรือเธอไม่สะดวก ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที
2.การศึกษา คุยกันเรื่องการศึกษา เพื่อทำความรู้จักพื้นฐานความรู้ของแต่ละฝ่ายกันก่อน ตัดความรู้สึกเรื่อง สถาบันของผมเก่งกว่าสถาบันของคุณ หรือสถาบันของชั้นเก่งกว่าสถาบันของนายออกไป แต่คุยในประเด็นอย่างเช่น ชอบเรียนวิชาอะไรบ้าง ตอนสมัยเรียนได้ทำกิจกรรมอะไร ที่สนุกๆ บ้างไหม คุยกันไป คุยกันมา อาจจะพบว่า มีเรื่องที่สนใจคล้ายๆ กัน หรืออย่างน้อยๆ ก็ทำให้ ได้รู้จักตัวตนของแต่ละฝ่าย เพิ่มมากขึ้นไปอีก
3.การงาน ถามได้ แต่ว่า ขอความกรุณาอย่าเพิ่งไปถามเรื่องเงินเดือนเป็นเด็ดขาด และถ้าเงินเดือนของคุณอยู่ในระดับสูง ก็ไม่ควรพูดโอ้อวดเกี่ยวกับเงินเดือนของคุณ เช่นเดียวกัน ประเด็นสำหรับคุยเกี่ยวกับเรื่องการงาน มีทั้งเรื่อง ความถนัดของคุณ เรื่องประทับใจในที่ทำงาน หรือเรื่องแย่สุดๆ ในที่ทำงาน ที่คุณอยากจะเม้าท์
4.ความชอบ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องสี คุณชอบสีอะไร? คุณถูกโฉลกกับสีไหน? หรือคุยกันเรื่องสัตว์เลี้ยง เลี้ยงสนุข เลี้ยงแมว เลี้ยงปลา ฯลฯ และมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง
5.หนัง,ละคร,เพลง เป็นอีกเรื่องสำคัญที่จะทำให้รู้ตัวตนของเค้า ไม่ว่าจะเป็น แนวเพลงที่ชอบ ป๊อป,ร็อค,แจ๊ส,ฮิพฮอพ หนังก็มีหลายประเภท ตั้งแต่ดราม่าน้ำตาแตก ทริลเลอร์เขย่าขวัญ รักโรแมนติก เมื่อ รู้แนวที่ชอบของแต่ละฝ่าย ต่อไปเมื่อมีการพัฒนาสายสัมพันธ์ ไปดูหนังด้วยกัน จะได้เลือกดูเรื่องที่ถูกใจ
6.กิจกรรมยามว่าง นอกจากหนัง,ละครและเพลงแล้ว กิจกรรมยามว่างอื่นๆ ก็มีอีก เช่น เล่นกีฬา วาดรูป ท่องเที่ยว เข้าวัด ทำบุญ.... คุยเรื่องกิจกรรมยามว่างที่คุณสนใจ และเสนอแนะเขาหรือเธอว่า ไปเที่ยวที่นี่กันดีมั้ย ไปทำกิจกรรมที่นั่นกันดีมั้ย? หรือชวนกันแลกเปลี่ยนไอเดีย และหาข้อสรุป ว่าจะทำกิจกรรมอะไรดี ที่จะได้สนุกร่วมกัน
7.ไสยศาสตร์และการดูดวง ลองเกริ่นๆ ดูก่อน ว่าเขาหรือเธอ สนใจ และมีความเชื่อเรื่องการดูดวงหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่ชอบการทำนายทายทัก หรือดูดวงชะตาชีวิต ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนถึงศาสตร์ในเรื่องนี้กัน หรือยามมีเวลาว่าง ชวนกันไปดูดวง ก็เข้าท่า
8.ทำบุญ ทุกศาสนามีพิธีกรรมต่างๆ และรูปแบบการทำบุญที่แตกต่างกันออกไป การไปทำบุญด้วยกัน ช่วยทำให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลายลงได้ และช่วยทำให้รักอย่างมีสติ ลองชวนคนที่คุณกำลังจีบอยู่ ไปทำบุญด้วยกัน ถ้าเค้าไป แสดงว่า ส่วนหนึ่งในจิตใจเค้า เชื่อในการทำความดี แต่ถ้าเค้าไม่ไป ก็ไม่ต้องรีบร้อน รอให้เค้าว่างๆ ก่อน ค่อยชวนไปใหม่ อีกรอบก็ได้
9.ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว มีทั้ง กลางวัน และกลางคืน กลางวัน ก็มี สวนสาธารณะ ห้างสรรพค้า สวนสนุก สวนสัตว์ หอศิลป์ ฯลฯ ส่วนสถานที่เที่ยวกลางคืน ก็ไปที่ที่มีความเหมาะสม เช่นร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ริมน้ำเจ้าพระยา ตลาดนัดกลางคืน ที่สะพานพุทธ ถามคนที่คุณกำลังจีบว่า เขาหรือเธอ ชอบสถานที่ ท่องเที่ยว ที่มีบรรยากาศ แบบไหน... เป็นธรรมชาติ? แหล่งช๊อปปิ้ง? แหล่งอาหารอร่อย? เมื่อรู้ใจในเบื้องต้นกันแล้ว ก็เหลือแค่ หาเวลาว่างไปเที่ยวด้วยกัน
10.ความลับ ลองบอกกับคนที่ คุณกำลังจีบอยู่ว่า "เรื่องที่ผมพูดออกไปนี่ เก็บไว้เป็นความลับด้วยนะครับ" เพื่อดูว่า ฝ่ายตรงข้าม จะรักษาความลับของคุณ เอาไว้ได้หรือไม่ ถือเป็นการเล่นอะไรสนุกๆ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องที่คุณพูดออกไป อาจไม่ใช่ความลับ ที่สลักสำคัญอะไรมากก็ได้ หรือว่า ลองเกลี้ยกล่อมฝ่ายตรงข้าม ให้เขาหรือเธอ บอกความลับกับคุณบ้าง
credit:teenee.com
วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554
รู้ทันไข้หวัดใหญ่
การระบาดในตอนเริ่มแรก สื่ออเมริกันเรียกโรคดังกล่าวว่า "ไข้หวัดใหญ่ เอช 1 เอ็น 1" ก่อนที่องค์การอนามัยโลกจะตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า ไวรัสโรคระบาด เอช 1 เอ็น 1/09[22] ในขณะที่ CDC เรียกว่า "ไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1)" หรือ "ไข้หวัดใหญ่ เอช 1 เอ็น 1 2009" ในเนเธอร์แลนด์ เดิมเรียกว่า "ไข้หวัดหมู" แต่ในปัจจุบัน สถาบันสุขภาพแห่งชาติได้เรียกว่า "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1)" ถึงแม้ว่าในสื่อและประชาชนโดยทั่วไปจะใช้ชื่อว่า "ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก" ก็ตาม; เกาหลีใต้และอิสราเอล พิจารณาเรียกชื่ออย่างสั้น ๆ ว่า "ไวรัสเม็กซิโก" ในภายหลัง สื่อสัญชาติเกาหลีใต้ใช้ตัวย่อ "SI" ซึ่งย่อมาจาก "ไข้หวัดใหญ่ในสุกร" (Swine influrenza) ในไต้หวันใช้ชื่อว่า "ไข้หวัดเอช 1 เอ็น 1" หรือ "ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้กันในสื่อท้องถิ่นจำนวนมาก องค์การสุขภาพสัตว์โลกเสนอชื่อว่า "ไข้หวัดใหญ่อเมริกาเหนือ" คณะกรรมาธิการยุโรปใช้คำว่า "ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่"ส่วนในประเทศไทย ได้เคยมีการเรียกโรคดังกล่าวว่า "ไข้หวัดหมู" และ "ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก" ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อเป็น "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009" ในภายหลัง แต่ในปัจจุบัน มักจะย่อเป็น "ไข้หวัด 2009" หรือ "หวัดใหญ่ 2009"
ได้มีการประมาณว่า ประชากรโลกอย่างน้อย 5-15% ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ถึงแม้ว่าผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการไม่รุนแรงมากนัก แต่โรคระบาดดังกล่าวก็ยังก่อให้เกิดการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงในประชากร 3-5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตถึง 250,000-500,000 รายทั่วโลกทุกปี โดยเฉลี่ยแล้ว ทุกปีจะมีผู้เสียชีวิตในสหรัฐอเมริการาว 41,400 ราย ตามข้อมูลซึ่งเก็บรวบรวมระหว่าง พ.ศ. 2522-2544ในประเทศอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่อาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงและการเสียชีวิตเกิดขึ้นกับเด็กทารก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยอาการเรื้อรังซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ถึงแม้ว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในสุกร (เช่นเดียวกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน เมื่อปี พ.ศ. 2461) มีความแตกต่างกันบ้าง เนื่องจากไข้หวัดใหญ่ในสุกรมักจะติดต่อกับคนในวัยหนุ่มสาวและมีสุขภาพดีนอกเหนือจากโรคระบาดประจำปีเหล่านี้ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอยังก่อให้เกิดโรคระบาดทั่วโลกสามครั้งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20: ไข้หวัดใหญ่สเปน ในปี พ.ศ. 2461 ไข้หวัดใหญ่เอเชีย ในปี พ.ศ. 2500 และไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ในปี พ.ศ. 2511-2512 สายพันธุ์ไวรัสเหล่านี้ยังได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงด้านพันธุกรรมครั้งใหญ่ ซึ่งประชากรโลกยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่จำเป็นการศึกษาพันธุกรรมเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เปิดเผยว่า ส่วนพันธุกรรมกว่าสามในสี่หรือหกในแปดของสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ระบาดทั่ว พ.ศ. 2552 เกิดขึ้นมาจากไข้หวัดใหญ่ในสุกรอเมริกาเหนือ ซึ่งได้เริ่มแพร่ระบาดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เมื่อสายพันธุ์ใหม่ถูกระบุชนิดเป็นครั้งแรกในโรงงานฟาร์มในรัฐนอร์ทแคโรไลนา และยังเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่พันธุ์ทางซึ่งรวมไวรัสกว่าสามสายพันธุ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนเริ่มต้นจากระลอกแรกซึ่งมักจะไม่แสดงอาการรุนแรงมากนักในฤดูใบไม้ผลิ ก่อนที่ในระลอกต่อมาจะเป็นอันตรายถึงชีวิตในฤดูใบไม้ร่วง และทำให้มีผู้เสียชีวิตนับแสนคนในสหรัฐอเมริกาผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนเป็นผลมาจากแบคทีเรียโรคปอดอักเสบ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ทำลายเยื่อบุกรองของถุงหลอดลมและปอดของเหยื่อ ทำให้แบคทีเรียโดยทั่วไปจากจมูกและลำคอแพร่เชื้อใส่ปอดของผู้ป่วย โรคระบาดทั่วในภายหลังมีอันตรายถึงตายน้อยลงเนื่องจากการพัฒนายาปฏิชีวนะซึ่งสามารถรับมือกับโรคปอดบวมได้
อาการป่วยของผู้ที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะไม่แตกต่างจากผู้ที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจมีอาการไข้ขึ้นสูง ไอ ปวดศีรษะ เจ็บตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ หนาวสั่น ปวดเมื่อย และคัดจมูก ส่วนอาการท้องร่วง อาเจียนและอาการทางประสาทอาจมีการรายงานในผู้ป่วยบางกรณีผู้ซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากโรคแทรกซ้อนที่มีอาการรุนแรง ได้แก่ ผู้ซึ่งมีอายุ 65 ปีขึ้นไป เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เด็กซึ่งมีอาการทางประสาท สตรีมีครรภ์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามเดือนก่อนคลอด) และผู้ที่มีโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคหืด โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตัวเลขจาก CDC ระบุว่า จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกามากกว่าร้อยละ 70 คือ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 CDC รายงานว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 "ดูเหมือนจะติดต่อในเด็กซึ่งป่วยเรื้อรังมากกว่าไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลโดยปกติ"[58] และจากจำนวนเด็กซึ่งเสียชีวิตจนถึงปัจจุบัน เกือบสองในสามเคยมีความผิดปกติทางระบบประสาท "เด็กซึ่งมีปัญหาทางประสาทและกล้ามเนื้ออาจเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนได้"อาการในผู้ป่วยรุนแรง
องค์การอนามัยโลกรายงานว่าลักษณะอาการของผู้ป่วยรุนแรงนั้นมีความแตกต่างจากลักษณะที่พบในการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอย่างมาก เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าผู้มีโรคประจำตัวจะเสี่ยงติดโรคติดต่อมากขึ้น แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กลับแสดงอาการรุนแรงในผู้ป่วยซึ่งเคยมีสุขภาพดีมากกว่าในผู้มีโรคประจำตัว ซึ่งในปัจจุบัน ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงของการแสดงอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงในผู้ป่วยเหล่านี้ยังคงอยู่ในระหว่างการวิจัย ในกรณีที่แสดงอาการรุนแรง ผู้ป่วยมักจะเริ่มจากมีอาการทรุดลงราว 3-5 วัน หลังจากเริ่มสังเกตเห็นอาการของโรค สุขภาพของผู้ป่วยจะทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งในช่วงนี้ ผู้ป่วยจำนวนมากมักจะประสบกับความล้มเหลวของระบบหายใจภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งต้องการรักษาในห้องไอซียูอย่างเร่งด่วน และต้องการการช่วยหายใจเชิงกล
คำแนะนำ CDC รายงานว่าอาการแสดงต่อไปนี้คือ "อาการแสดงเตือนฉุกเฉิน" (emergency warning sign) และแนะนำให้ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงอย่างใดอย่างหนึ่งตามรายชื่อนี้ไปรับการรักษากับแพทย์โดยด่วน
สัญญาณเตือนฉุกเฉินในผู้ใหญ่
หายใจลำบากหรือหายใจกระชั้น
เจ็บ ปวด หรือรู้สึกอึดอัดบริเวณอกหรือท้องน้อย
อาการเวียนศีรษะเฉียบพลัน
มีอาการสับสน
อาเจียนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
ร่างกายมีอุณหภูมิต่ำ
สัญญาณเตือนฉุกเฉินในเด็กและทารก
หายใจถี่หรือหายใจลำบาก
ตัวเขียว
ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
ปลุกไม่ตื่นหรือไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
รู้สึกหงุดหงิดจนเด็กไม่อยากถูกอุ้ม
มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการดีขึ้นแล้วครั้งหนึ่งแต่กลับเป็นอีกโดยมีไข้และไออย่างรุนแรง
มีไข้และมีผื่น
ไม่สามารถรับประทานอาหารได้
ร้องไห้ไม่มีน้ำตาไหล
การติดต่อ
เป็นที่เชื่อกันว่า การแพร่ระบาดของไวรัสเอช 1 เอ็น 1 เกิดขึ้นในวิธีเดียวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล โดยส่วนใหญ่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่แพร่รพบาดจากคนสู่คนผ่านทางการไอหรือการจามของผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ในบางครั้ง ก็อาจรวมไปถึงการสัมผัสกับบางสิ่งซึ่งมีไวรัสไข้หวัดใหญ่อยู่บริเวณนั้น แล้วไปสัมผัสกับปากหรือจมูกของตนเองได้อีกทางหนึ่งด้วย ค่าความเร็วในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส (ค่าตัวเลขซึ่งระบุว่ามีผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้มากเพียงใด ในประชากรซึ่งไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค) ต่อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เอช 1 เอ็น 1 พ.ศ. 2552 ถูกประเมินไว้ที่ 1.75
การป้องกัน
การระบาดทั่วของโรคนั้นมีการคาดการณ์ว่าจะถึงจุดสูงสุดราวกลางฤดูหนาวในซีกโลกเหนือCDC ได้แนะนำว่า ขนาดยาวัคซีนในขั้นแรกควรจะนำไปฉีดให้กับกลุ่มที่ต้องการเป็นพิเศษ อย่างเช่น สตรีมีครรภ์ บุคคลผู้อาศัยหรือเลี้ยงดูทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน เด็กซึ่งมีอายุระหว่าง 6 เดือน - 4 ปี และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขในสหราชอาณาจักร NHS ได้ให้คำแนะนำทำนองเดียวกัน โดยแนะนำให้ใช้กับบุคคลอายุมากกว่า 6 ปีซึ่งเสี่ยงต่อโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และคนในครอบครัวซึ่งมีภูมิคุ้มกันไม่สมบูรณ์
ถึงแม้ว่าในตอนแรกจะมีการคาดการณ์ว่าการฉีดวัคซีนต้องการการฉีด 2 ครั้ง แต่กรณีในการรักษาแสดงออกมาว่าวัคซีนของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น ป้องกันผู้ใหญ่เฉพาะ "ยาโดสเดียว แทนที่จะเป็นสองโดส" ดังนั้น ปริมาณวัคซีนที่จำกัดน่าจะกระจายไปได้ไกลเป็น 2 เท่าจากที่เคยทำนายไว้ ค่าใช้จ่ายจะลดลงโดยการมี "วัคซีนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" สำหรับเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่า 10 ปี ได้มีการแนะนำให้ฉีดวัคซีน 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 21 วัน อย่างไรก็ตาม ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลยังต้องการวัคซีนแยกต่างหากจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลกเป็นกังวลเช่นกัน เนื่องจากเชื้อเป็นไวรัสชนิดใหม่ ซึ่งสามารถกลายพันธุ์และทวีความรุนแรงขึ้นได้ ถึงแม้ว่าอาการของไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงนักและกินเวลาเพียงไม่กี่วันโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา หน่วยงานรัฐบาลยังกระตุ้นให้ประชาคม ธุรกิจและปัจเจกชนในการเตรียมการสำหรับความเป็นไปได้ที่อาจมีการปิดโรงเรียน กรณีลูกจ้างจำนวนมากลางานเพราะการเจ็บป่วย ปริมาณของผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลที่ไม่คงที่ และผลกระทบอย่างอื่นของการระบาดในวงกว้างที่สามารถเป็นไปได้
ในการรับมือกับไวรัส องค์การอนามัยโลกและรัฐบาลสหรัฐเร่งการรณรงค์วัคซีนขนานใหญ่เมื่อปลาย พ.ศ. 2552 ซึ่งนับว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่หลังจากการค้นพบวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ เมื่อปี พ.ศ. 2498
เมโยคลินิกแนะนำมาตรการส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการติดไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งสามารถปรับใช้กับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ คือ ฉีดวัคซีนเมื่อสามารถหาได้ การล้างมือบ่อย ๆ และทั่วถึง การรับประทานอาหารซึ่งมีผลไม้และผักสด ธัญพืชทั้งเมล็ด และโรปตีนไขมันต่ำ รวมทั้งการนอนหลับอย่างเพียงพอ การออกกำลังกายเป็นกิจวัตร และการหลีกเลี่ยงฝูงชนขนาดใหญ่การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งทำให้อาการของโรครุนแรงยิ่งขึ้นในเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ผู้เข้ารับการรักษาของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่ระบุได้เป็นผู้สูบบุหรี่
วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554
จีบคนพึ่งอกหักทำอย่างไรดี
อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตของคนที่มีหัวใจ'>ปัญหาหัวใจว่า ”จีบคนเพิ่งอกหักทำอย่างไรดี” ถ้าเกิดคุณไปปิ๊งปั๊งกับคนที่เพิ่งผ่านอาการช้ำรัก หรือว่าอยู่ในช่วงระหองระแหงกับความรักอยู่ล่ะก็ คงจะมีอาการไม่มั่นใจหรือว่าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกอย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรแล้วล่ะก็ มีคำแนะนำ
อย่าเร่งรัด ให้เวลาและเว้นระยะ
เป็นเรื่องปรกติของคนที่มีความรัก ที่รู้สึกอยากครอบครองหรืออยากรู้คำตอบให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมีใจกับเรารึเปล่า แต่ในกรณีนี้เป็นกรณีพิเศษที่ว่าอีกฝ่ายกำลังมีปัญหาอยู่ ถ้าคุณไปเร่งรัดเค้าเท่ากับว่าเป็นการไปเพิ่มปัญหาให้อีกฝ่าย แทนที่ผลลัพธ์จะออกมาดีมันจะทำให้กลับกลายเป็นเรื่องเลวร้ายหรือแทนที่จะได้เริ่มต้นความสัมพันธ์กลับจะกลายเป็นจบความสัมพันธ์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยล่ะ การให้เวลาในการตัดสินใจหรือพิสูจน์ความจริงใจของคุณก็เป็นเรื่องสำคัญ พิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็น แล้วก็เว้นระยะให้เค้าได้ทำใจเพื่อพร้อมสำหรับความรักครั้งใหม่ครับ อีกอย่างถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงก็คงจะดูไม่ดีนักที่เพิ่งเลิกกับแฟนก็มีคนใหม่ทันที มองในแง่สังคมด้วยก็ดี
แสดงความจริงใจและใส่ใจ
ความจริงใจเป็นเรื่องสำคัญของการเริ่มต้นในความสัมพันธ์ ถ้าคุณเห็นคนที่คุณชอบกำลังเสียใจอยู่ การแสดงความจริงใจและใส่ใจอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับรักครั้งใหม่ของเค้า การแสดงออกก็ไม่ยาก แค่ส่งข้อความหรือเพลงซึ้งๆให้กำลังใจอีกฝ่าย หรือบางครั้ง สิ่งที่ทำได้ง่ายๆคือการเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะคนที่เสียใจก็แค่อยากให้มีใครมารับฟังความทุกข์เค้าก็พอ
เอาใจเขามาใส่ใจเรา
คนที่เพิ่งเสียใจกับความรักมาอาจจะมีผลกับความรักครั้งใหม่ของคนๆนั้น อาจจะทำให้เค้ารู้สึกเข็ดขยาดกับความรักเพราะความผิดหวังและความเสียใจ หรืออาจจะรู้สึกว่าอ้างว้างโดดเดี่ยวอยากได้ใครซักคนมาดูแลหรือว่าอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล สิ่งที่ทำได้คือเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า ถ้าตอนนี้คุณกำลังร้องไห้เสียใจอยู่ แต่กลับมีอีกคนมาแล้วๆขอความรักคุณอยู่ คุณก็คงจะไม่มีอารมณ์ตอบรับอะไรทั้งนั้นจริงไหม
เป็นที่ปรึกษาที่ดี
ไม่ใช่เอาแต่ยุให้เค้าเลิกกันหรือว่าอวดความดีของตัวเอง มันไม่ถูกที่ถูกเวลา เพราะถ้าเกิดเค้ากลับไปรักกันใหม่ คุณเองจะเน่า ให้กำลังใจหรือคำแนะนำที่เป็นกลางที่สุด เพราะสุดท้ายการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวคุณ ถ้าคุณรักอีกฝ่ายจริงการเห็นเค้ามีความสุขนั่นคือความรักที่แท้จริงไม่ใช่เหรอ (อันนี้ทำยากแต่ถ้าทำได้ก็จะดี)
อย่าทำผิดเหมือนคนที่ผ่านมา
ถ้าคุณได้มีโอกาสรับฟังปัญหาของเค้าว่าความผิดหวังครั้งก่อนของเค้ามีสาเหตุเกิดจากอะไร ให้จำเอาไว้แล้วอย่าทำนิสัยหรือว่าทำให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยถ้าเค้าผิดหวังเพราะแฟนเก่ามีคนอื่น สิ่งที่คุณต้องทำคือทำให้เค้าไว้ใจคุณให้ได้ หรือบางครั้งคุณอาจจะต้องเตรียมรับมือว่าต่อไปถ้าได้คุณได้คบกับเค้า คุณต้องสู้กับความระแวงที่ฝังใจของอีกฝ่ายอยู่ แล้วพิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็นว่าคุณจะไม่ทำความผิดเหมือนคนที่ผ่านมา
เป็นโรคไต ทำไมถึงคัน
ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ประมาณว่าประชากรโลกมากกว่า 500 ล้านคนเป็นโรคไต ในประเทศไทยก็พบผู้ป่วยโรคไตสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ที่น่าสนใจคือพบว่าผู้ป่วยโรคไตมีปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนังบ่อยมาก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร บอกว่า เมื่อตรวจผิวหนังผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายจะพบว่าร้อยละ 50-100 ของผู้ป่วยมีความผิดปกติของผิวหนังอย่างน้อยหนึ่งชนิด ปัญหาผิวหนังที่พบในผู้ป่วยโรคไตแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
1. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังในโรคที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคไตระยะสุดท้าย เช่น ถ้าโรคไตเกิดจากการเป็นเบาหวานมาก่อน ก็จะพบการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่เหมือนกับที่พบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เช่น มีผื่นที่หน้าแข้ง ซอกคอดำ ถ้าโรคไตสืบเนื่องมาจากการเป็นโรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ก็จะมีอาการทางผิวหนังที่เหมือนกับที่พบในผู้ป่วยเอดส์ เช่น มีเนื้องอกผิวหนังเป็นตุ่มสีม่วง และลิ้นมีสีขาวแลดูคล้ายมีขน
2. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่เนื่องมา จากอาการยูรีเมีย คำว่า ยูรีเมีย เป็นอาการของผู้ป่วยโรคไตวาย ที่มีของเสียจำพวกไนโตรเจนคั่งอยู่ในเลือด ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร เฉื่อยชา หรือหมดสติได้ การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังในกลุ่มนี้ที่พบบ่อยได้แก่ อาการคันผิวหนัง และผิวแห้ง
3. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่เนื่องมาจากการเปลี่ยนไต ซึ่งอาจเกิดจากยาที่ต้องใช้ เช่น อาการหน้ากลมเป็นพระจันทร์จากการได้สเตียรอยด์ หรือ อาจเกิดจากภาวะที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ถูกกดภูมิต้านทาน จึงทำให้เริม และงูสวัดกำเริบ ติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นฝีหนองง่ายขึ้น ติดเชื้อรา เป็นหิด และเป็นมะเร็งผิวหนังบ่อยขึ้นกว่าคนปกติ
สำหรับอาการคันผิวหนังในผู้ป่วยโรคไตนั้นพบได้บ่อยมาก กล่าวคือ ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังมีอาการคันอย่างมีนัยสำคัญ ถึงร้อยละ 15-49 และผู้ป่วยโรคไตที่ต้องล้างไต มีอาการคันร้อยละ 50-90 อาการคันอาจเป็นช่วง ๆ หรือคงที่ เป็นเฉพาะที่ หรือเป็นทั่วร่างกาย คันน้อยจนถึงคันมาก
เมื่ออาการคันเป็นเฉพาะที่มักเป็นเด่นชัดที่แขนและหลังด้านบน อาการคันส่งผลเสียต่อการนอนหลับและสุขภาพจิตของผู้ป่วยได้บ่อย ผู้ป่วยมักเกาจนเกิดรอยแกะเกาทำให้ผิวหนังมีการติดเชื้อตามมาได้ง่าย เกิดตุ่มคันนูนหนา และผิวหนังหนาตัวเป็นเปลือกไม้ สาเหตุของอาการคันเชื่อว่าอาจเกิดจาก ผิวแห้ง ร่างกายขจัดสารที่ก่ออาการคันออกทางผิวหนังได้น้อยลง ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติจึงมีแคลเซียม ฟอสเฟต และฮีสตามีนในเลือดสูงขึ้น
การรักษาอาการคันในผู้ที่เป็นโรคไตนั้น ได้แก่ การใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นเพื่อลดผิวแห้ง เพิ่มประสิทธิภาพของการฟอกไต ปรับระดับของแคลเซียม ฟอสเฟต ให้ปกติ ในบางรายการใช้ยาแก้แพ้กลุ่มที่กินแล้วง่วง และการอบเซาน่าอาจลดอาการคันลงได้ชั่วคราว ในรายที่เป็นมากแพทย์อาจพิจารณาใช้การฉายแสงรังสียูวีบี และใช้การผ่าตัดต่อมพาราไทรอยด์ออก
Credit: www.teenee.com
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร บอกว่า เมื่อตรวจผิวหนังผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายจะพบว่าร้อยละ 50-100 ของผู้ป่วยมีความผิดปกติของผิวหนังอย่างน้อยหนึ่งชนิด ปัญหาผิวหนังที่พบในผู้ป่วยโรคไตแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
1. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังในโรคที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคไตระยะสุดท้าย เช่น ถ้าโรคไตเกิดจากการเป็นเบาหวานมาก่อน ก็จะพบการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่เหมือนกับที่พบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เช่น มีผื่นที่หน้าแข้ง ซอกคอดำ ถ้าโรคไตสืบเนื่องมาจากการเป็นโรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ก็จะมีอาการทางผิวหนังที่เหมือนกับที่พบในผู้ป่วยเอดส์ เช่น มีเนื้องอกผิวหนังเป็นตุ่มสีม่วง และลิ้นมีสีขาวแลดูคล้ายมีขน
2. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่เนื่องมา จากอาการยูรีเมีย คำว่า ยูรีเมีย เป็นอาการของผู้ป่วยโรคไตวาย ที่มีของเสียจำพวกไนโตรเจนคั่งอยู่ในเลือด ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร เฉื่อยชา หรือหมดสติได้ การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังในกลุ่มนี้ที่พบบ่อยได้แก่ อาการคันผิวหนัง และผิวแห้ง
3. การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่เนื่องมาจากการเปลี่ยนไต ซึ่งอาจเกิดจากยาที่ต้องใช้ เช่น อาการหน้ากลมเป็นพระจันทร์จากการได้สเตียรอยด์ หรือ อาจเกิดจากภาวะที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ถูกกดภูมิต้านทาน จึงทำให้เริม และงูสวัดกำเริบ ติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นฝีหนองง่ายขึ้น ติดเชื้อรา เป็นหิด และเป็นมะเร็งผิวหนังบ่อยขึ้นกว่าคนปกติ
สำหรับอาการคันผิวหนังในผู้ป่วยโรคไตนั้นพบได้บ่อยมาก กล่าวคือ ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังมีอาการคันอย่างมีนัยสำคัญ ถึงร้อยละ 15-49 และผู้ป่วยโรคไตที่ต้องล้างไต มีอาการคันร้อยละ 50-90 อาการคันอาจเป็นช่วง ๆ หรือคงที่ เป็นเฉพาะที่ หรือเป็นทั่วร่างกาย คันน้อยจนถึงคันมาก
เมื่ออาการคันเป็นเฉพาะที่มักเป็นเด่นชัดที่แขนและหลังด้านบน อาการคันส่งผลเสียต่อการนอนหลับและสุขภาพจิตของผู้ป่วยได้บ่อย ผู้ป่วยมักเกาจนเกิดรอยแกะเกาทำให้ผิวหนังมีการติดเชื้อตามมาได้ง่าย เกิดตุ่มคันนูนหนา และผิวหนังหนาตัวเป็นเปลือกไม้ สาเหตุของอาการคันเชื่อว่าอาจเกิดจาก ผิวแห้ง ร่างกายขจัดสารที่ก่ออาการคันออกทางผิวหนังได้น้อยลง ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติจึงมีแคลเซียม ฟอสเฟต และฮีสตามีนในเลือดสูงขึ้น
การรักษาอาการคันในผู้ที่เป็นโรคไตนั้น ได้แก่ การใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นเพื่อลดผิวแห้ง เพิ่มประสิทธิภาพของการฟอกไต ปรับระดับของแคลเซียม ฟอสเฟต ให้ปกติ ในบางรายการใช้ยาแก้แพ้กลุ่มที่กินแล้วง่วง และการอบเซาน่าอาจลดอาการคันลงได้ชั่วคราว ในรายที่เป็นมากแพทย์อาจพิจารณาใช้การฉายแสงรังสียูวีบี และใช้การผ่าตัดต่อมพาราไทรอยด์ออก
Credit: www.teenee.com
วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
มารู้จัก แบล็กฮอว์ค-ฮิวอี้ ฮ.ระดับสุดยอดของกองทัพ
รูปร่างของเฮลิคอปเตอร์แบบ UH-1 คุ้นเคยกับเด็กๆไทยในชนบท อย่างสนิทสนม เสียงใบพัดตัดอากาศของมันเรียกร้องให้เด็กๆเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เด็กเหล่านั้นไม่ทราบว่ามันบินมาจากไหน แต่เมื่อมันร่อนลงจอด บนสนามหญ้าหน้าโรงเรียน มันเสมือนเป็นแม่เหล็กที่มีแรงดึงดูดทำให้เด็กไทย ต้องแย่งกรูกันเข้าไปดูอย่างใกล้ชิด โดยที่ฝุ่นยังไม่ทันจาง มันได้สร้างความฝันให้แก่เด็กไทย ไม่น้อยไปกว่าเครื่องบินไอพ่นของคนเมือง แต่อย่างใด
เมื่อได้ย้อนรอย กลับไปดูประวัติการรบของเฮลิคอปเตอร์ UH-1 ลำนี้แล้ว นักรบทุกคน ต่างยกย่องมัน ด้วยความสดุดี มันเป็นยุทโธปกรณ์สำคัญในสงครามเวียดนาม การปะทะในแนวหน้า ไม่เพียงแต่กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ส่งเครื่องบิน C-130 เข้าร่วมแล้ว เฮลิคอปเตอร์แบบ UH-1 คือ ตัวแทนกองทัพบกสหรัฐฯ ที่เข้าร่วมรบกันอยู่ อย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ และจากนั้นต่อมาสงครามการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย เฮลิคอปเตอร์ UH-1 ซึ่งกองทัพไทยได้รับมาจากผลพวงของสงครามเวียดนาม ถูกใช้เป็นอากาศยานหลักของกองทัพบกไทย ในการปฏิบัติการต่างๆ ทั้งในทางลับ ทางลึก และการเคลื่อนพลขนาดใหญ่ เฮลิคอปเตอร์ UH-1 มันได้เคยนำทหารไทยเข้าสู่สนามรบ พร้อมกับนำร่างทหารที่บาดเจ็บออกมารักษาตัว ห้องนักบินและพื้นระวางบรรทุกของ UH-1 เคยนองไปด้วยเลือดของเพื่อนทหารที่อุทิศชีวิตเพื่อชาติ เคยนำร่างไร้วิญญาณของทหารกลับไปสู่อ้อมอกแม่ ว่างเว้นจากการศึกสงครามมันได้นำนักกระโดดร่มขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อสร้างสีสันในงานวันเด็ก แล้ววนลงกลับมาจอดให้เด็กไทยได้สัมผัส กระทั่งในยามที่พี่น้องคนไทยประสบภัยพิบัติ UH-1 ยังเคยได้นำความช่วยเหลือไปส่งให้ อย่างมิได้ขาด เฮลิคอปเตอร์ UH-1 ถูกนำเข้าประจำการในกองทัพต่างๆเป็นจำนวนมาก ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน มีการปรับปรุงและพัฒนาต่อมาหลายรุ่น เฮลิคอปเตอร์ UH-1 รุ่นแรกคือ ยุทโธปกรณ์ของทหารในแนวหน้า อย่างแท้จริง แต่เฮลิคอปเตอร์รุ่นหลัง กลับแตกต่างออกไป จุดหักเหของเฮลิคอปเตอร์รุ่นหลัง ในกองทัพไทย เริ่มจากการโรยลาลงไปของภารกิจทางยุทธวิธี ซึ่งเคยเป็นหน้าที่หลัก เปลี่ยนไปเป็นม้าใช้เพื่อการเดินทางของบุคคลสำคัญ ทั้งในและนอกกองทัพ จิตวิญญาณของทหารได้เปลี่ยนไป บทบาทของ UH-1 จึงได้ถูกหักเปลี่ยนตามไปด้วย พื้นระวางบรรทุกของ UH-1 รุ่นหลังถูกปูด้วยพรมสะอาด จึงไม่อาจอนุญาตให้เด็กไทย เข้าไปดูได้ใกล้เหมือนเช่นเคยตำนานเฮลิคอปเตอร์UH-1 ตำนานของเฮลิคอปเตอร์UH-1 ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทเบลล์ (Bell) แห่งสหรัฐอเมริกา ย้อนหลังไปในปีค.ศ1950 ช่วงสงครามเกาหลี บทบาทของเฮลิคอปเตอร์ยังไม่มากนัก เพราะข้อจำกัดทางด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์ลูกสูบ มันจึงทำหน้าที่เพียงส่งกำลังบำรุงในระยะใกล้ และนำทหารบาดเจ็บออกจากพื้นที่การรบ เมื่อเครื่องยนต์ไอพ่นได้ถูกพัฒนาขึ้น มีสมรรถนะสูงขึ้น บริษัทเบลล์ จึงได้นำไปติดตั้งในเครื่องต้นแบบของตนคือ XH-40 เพื่อทำหน้าที่แทนรถพยาบาลในพื้นที่ห่างไกล ในปี 1955 กองทัพบกสหรัฐฯ ร้องขอให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ พัฒนาเฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่ เพื่อใช้ในภารกิจการส่งกลับทางอากาศสายการแพทย์ (aeromedical evacuation) โดยเฉพาะเฮลิคอปเตอร์ XH-40 ของเบลล์ในรุ่นตัวถัง Models 204 ใช้เครื่องยนต์ Lycoming T-53 ขนาด 850 แรงม้า เป็นผู้ได้รับเลือก มีใบพัดหลักสองกลีบ เป็นฮลิคอปเตอร์แบบแรกของกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งใช้เครื่องยนต์ไอพ่น ขึ้นทดสอบบินครั้งแรกในเดือนตุลาคม 1956 พัฒนาต่อเนื่องจนเข้าสู่สายการผลิตในปี 1959 และถูกกำหนดรหัสในครั้งแรกให้เป็น HU-1 (Helicopter Utility ตามระเบียบของกองทัพบกสหรัฐ) แต่โดยทั่วไปมักคุ้นหูกันในนาม ฮิว-อี้(Huey) ซึ่งสำเนียงการออกเสียงภาษาอังกฤษพยัญชนะตัวเอช ตามด้วยเสียงสระอูของตัวยู และต่อด้วยเลขหนึ่ง(คล้ายตัวไอ) ทำให้ทหารอเมริกันอ่านออกเสียง HU-1 ด้วยความรวบรัดว่า ฮิว-อี้(Huey) ต่อมาในปี ค.ศ.1962 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดรหัสเรียกขานของอากาศยานทุกเหล่าในกองทัพ รหัสเรียกขานของฮิวอี้จึงเปลี่ยนมาเป็น UH-1(Utility Helicopter) พร้อมรหัสเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า Iroquois เป็นชื่อของชนเผ่าอินเดียนแดง ทางตอนเหนือในทวีปอเมริกา ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูนัก ส่วนในทางพาณิชย์-พลเรือนมันถูกเรียกว่า Bell 204/205 แต่โดยส่วนใหญ่ยังคงนึกถึงเกียรติประวัติของมันในนาม ฮิวอี้ UH-1 ประจำการอยู่ในทั้งสี่เหล่าทัพของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนานกว่าสี่สิบปี ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หลายเวอร์ชั่น และยังได้ถูกนำไปประจำการในกองทัพต่างๆ มากกว่าสี่สิบประเทศ ในภารกิจที่แตกต่างกัน อาทิ ภารกิจกู้ภัยช่วยเหลือในหุบเขา การลำเลียงทหาร การโจมตีเป้าหมายภาคพื้น และในสงครามปราบเรือดำน้ำ
รายละเอียดของ ฮ.ฮิวอี้ มีดังนี้ ลูกเรือ 4 นาย (นักบิน นักบินผู้ช่วย หัวหน้าลูกเรือ และพลปืน ความจุ ทหาร 6-8 นาย ความยาว 12.69 เมตร มี 2 ใบพัดเส้นผ่าศูนย์กลางใบพัด 14.6 เมตร ความสูง 4.4 เมตร น้ำหนักเปล่า 2,725.5 กก. น้ำหนักพร้อมบรรทุก 4,762.7 กก. น้ำหนักสูงสุดตอนนำเครื่องขึ้น 4,762.7 กก.ขุมกำลัง เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์แพรทท์ แอนด์วิทนีย์ สองเครื่องยนต์ ให้แรงขับเครื่องละ 900 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 220 กม.ต่อ ชม. พิสัย 460 กม. เพดานบินทำการ 17,300 ฟุต อัตราการไต่ระดับ 1,755 ฟุตต่อนาที อาวุธ จรวดขนาด 2.75 นิ้ว ปืนกลจีเอยู 16.50 คาลิเบอร์ ปืนกลจีเอยู 17 ขนาด 7.62 มม.หรือปืนกลน้ำหนักเบาเอ็ม 240 ขนาด 7.62 มม.
UH - 60 Black Hawk เป็นสี่ bladed, คู่เครื่องยนต์กลางยก เฮลิคอปเตอร์ยูทิลิตี้ ที่ผลิตโดย เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ .แสดงความคิดเห็น Sikorsky S - 70 การออกแบบสำหรับ กองทัพสหรัฐอเมริกา 's ระบบสาธารณูปโภคยุทธวิธีเครื่องบินขนส่ง (UTTAS) การแข่งขันในปี 1972 กองทัพบกที่กำหนดต้นแบบเป็น Yuh - 60A และที่เลือกฮอว์กดำเป็นผู้ชนะของโปรแกรมในปี 1976 หลังจากที่ได้มีการแข่งขันบินปิดด้วย เครื่องบินโบอิ้ง Vertol Yuh - 61 .
UH - 60A เข้าประจำการกับกองทัพบกในปี 1979 เพื่อแทนที่ Bell UH - 1 Iroquois เป็นเฮลิคอปเตอร์ขนส่งทางยุทธวิธีของกองทัพบก นี้ตามด้วย Fielding ของสงครามอิเล็กทรอนิกส์และพันธุ์การดำเนินงานพิเศษของฮอว์กดำ ปรับปรุง UH - 60L และ UH - 60M พันธุ์ยูทิลิตี้ยังได้รับการพัฒนา รุ่นแก้ไขยังได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับกองทัพเรือสหรัฐและกองทัพอากาศสหรัฐฯ นอกเหนือจากการใช้กองทัพสหรัฐในครอบครัว UH - 60 ได้รับการส่งออกไปยังหลายประเทศเหยี่ยวดำได้ทำหน้าที่ในการต่อสู้ระหว่างความขัดแย้งในเกรนาดา, ปานามา, อิรัก, โซมาเลีย, บอลข่าน, อัฟกานิสถานและพื้นที่อื่น ๆ ในตะวันออกกลาง
ขุมกำลัง เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ของเจเนรัล อิเลกทริก กำลังขับเคลื่อนเครื่องละ 1,800 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 295 กม.ต่อ ชม. ความเร็วในการร่อน 278 กม.ต่อ ชม. รัศมีทำการรบ 592 กม. พิสัยในการเคลื่อนย้าย 2,220 กม. เพดานบนทำการ 19,000 ฟุต อัตราการไต่ระดับ 700 ฟุตต่อนาที อัตราน้ำหนักต่อแรงผลัก 0.192 แรงม้าต่อปอนด์ อาวุธปืนกลเอ็ม 240 เอชหรือเอ็ม 134 ขนาด 7.62 มม. 2 กระบอก
นอกจากประเทศไทยที่มี ฮ.แบล็กฮอว์คแล้ว ยังมีประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ซื้อจากสหรัฐอเมริกามาประจำกองทัพของประเทศตนเอง เช่น ออสเตรเลีย ออสเตรีย ตุรกี จีน เกาหลีใต้ ใต้หวัน ฟิลิปปินส์ บาห์เรน ซาอุดิอาระบีย จอร์แดน อิสราเอล อียิปต์ โมร็อกโก บราซิล โคลอมเบีย ชิลี เม็กชิโก เป็นต้น
Credit by teenee.com ,http://en.wikipedia.org/wiki/Sikorsky_UH-60_Black_Hawk,
วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เรื่องของ Predator adiPower
เจเนอเรชั่นที่ 11 ของรองเท้าฟุตบอลสายพละกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
"Predator" จากอาดิดาส ถูกเปิดตัวภายใต้ชื่อใหม่ว่า "adiPOWER" ซึ่ง
มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำหนักที่
ถูกลดลงจนกลายเป็น "Predator ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในประวัติศาสตร์"
และจะเป็นเจเนอเรชั่นแรกที่อาดิดาสเพิ่มสายการผลิตรองเท้าระดับสุดยอด
"adiPOWER Predator SL" อีกด้วย
"Predator" จากอาดิดาส ถูกเปิดตัวภายใต้ชื่อใหม่ว่า "adiPOWER" ซึ่ง
มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำหนักที่
ถูกลดลงจนกลายเป็น "Predator ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในประวัติศาสตร์"
และจะเป็นเจเนอเรชั่นแรกที่อาดิดาสเพิ่มสายการผลิตรองเท้าระดับสุดยอด
"adiPOWER Predator SL" อีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอสำหรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะในเจเนอเรชั่น
ใหม่ป้ายแดงนี้ได้ถูกเปิดตัวด้วยเฉดสี "ฟ้า-เขียว-ดำ" แทนที่สีออริจินัล
ที่ทุกคนต่างคุ้มเคย และด้วยน้ำหนักของรองเท้าที่เบาเป็นประวัติศาสตร์จึง
ทำให้อาดิาสเลือกใช้พรีเซนเตอร์ที่มีสไตล์การเล่นที่รวดเร็วและดุดัน
ดังนั้นเราจึงได้เห็น "ริคาร์โด้ กาก้า" กลับมาเป็นพรีเซนเตอร์หลักให้กับ
"adiPOWER" อีกครั้ง โดยจะผนึกกำลังร่วมกับ "โรบิน ฟาน เพอร์ซี่"
และ "หลุยส์ นานี่" เพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์ให้แก่รองเท้าที่มีทั้งความเร็ว
และความแข็งแกร่งในตัวของมันเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับกำหนดการเปิดตัว "Predator adiPower" อย่างเป็นทางการจาก
อาดิดาสคือวันที่ 16 มิถุนายน (ค.ศ.) 2011 ซึ่งเป็นระยะเวลาเกือบจะครบ
สองปีแล้วที่รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์นักล่าเจเนอเรชั่นก่อนถูกเปิดตัว
ใหม่ป้ายแดงนี้ได้ถูกเปิดตัวด้วยเฉดสี "ฟ้า-เขียว-ดำ" แทนที่สีออริจินัล
ที่ทุกคนต่างคุ้มเคย และด้วยน้ำหนักของรองเท้าที่เบาเป็นประวัติศาสตร์จึง
ทำให้อาดิาสเลือกใช้พรีเซนเตอร์ที่มีสไตล์การเล่นที่รวดเร็วและดุดัน
ดังนั้นเราจึงได้เห็น "ริคาร์โด้ กาก้า" กลับมาเป็นพรีเซนเตอร์หลักให้กับ
"adiPOWER" อีกครั้ง โดยจะผนึกกำลังร่วมกับ "โรบิน ฟาน เพอร์ซี่"
และ "หลุยส์ นานี่" เพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์ให้แก่รองเท้าที่มีทั้งความเร็ว
และความแข็งแกร่งในตัวของมันเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับกำหนดการเปิดตัว "Predator adiPower" อย่างเป็นทางการจาก
อาดิดาสคือวันที่ 16 มิถุนายน (ค.ศ.) 2011 ซึ่งเป็นระยะเวลาเกือบจะครบ
สองปีแล้วที่รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์นักล่าเจเนอเรชั่นก่อนถูกเปิดตัว
สตีเวน เจอร์ราร์ด , โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ , หลุยส์ นานี่ , ซาบี้
วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ GIS Part2
3.การทำงานของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS Operation System)
การทำงานของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลักๆ คือ
3.1 การวิเคราะห์ปัญหาหรือการกำหนดวัตถุประสงค์
การกำหนดวัตถุประสงค์ เป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการดำเนินงานที่เกี่ยวกับ
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ทั้งนี้นักวิเคราะห์ GIS ต้องทราบวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนก่อนการดำเนินงาน
ในขั้นตอนต่างๆ ว่าต้องการแก้ไขปัญหาอะไร ปัญหาดังกล่าวสามารถตอบได้โดย GIS หรือไม่ และผล
ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิเคราะห์คืออะไร และใครจะเป็นผู้นำ ผลการวิเคราะห์ไปใช้ในขั้นตอนต่อไป
3.2 การจัดเตรียมฐานข้อมูล
1) การนำเข้าข้อมูล (Data Input) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การนำเข้า
ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) และข้อมูลบรรยายหรือข้อมูลทั่วไป การนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่เป็นการ
แปลงข้อมูลเชิงพื้นที่ให้เป็นข้อมูลเชิงตัวเลข (Digital Data) ซึ่งสามารถนำเข้าได้หลายวิธี เช่น
Digitizing Table, คีย์บอร์ด (Computer Keyboard) สแกนเนอร์ (Scanner) นำเข้าข้อมูลแผ่นฟิล์ม
(File Importation) และแปลงค่าพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ได้จากเครื่อง Global Positioning System
(GPS) ทั้งนี้โปรแกรม (Software) ที่ใช้ในการนำเข้ามีหลายโปรแกรม เช่น ArcInfo, ArcView,
MapInfo, SPAN, ERDAS เป็นต้น ส่วนการนำเข้าฐานข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่
สามารถนำเข้าโดยโปรแกรม Spreadsheet หรือโปรแกรมทั่วไป เช่น Excel, Lotus, FoxPro, Word
หรือโปรแกรม GIS
2) การจัดเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Cartographic
Representation) ข้อมูลประเภท Vector ซึ่งประกอบด้วยข้อมูล 3 ประเภท คือ จุด ลายเส้น และพื้นที่
หรืออาณาบริเวณ ข้อมูลดังกล่าวจะถูกจัดเก็บโดยอ้างอิงจากค่าพิกัดทางภูมิศาสตร์ ทั้งนี้รหัสของ
ข้อมูลอาจเรียงตามลำดับของการนำเข้า หรือเรียงตามค่ารหัสที่ถูกกำหนดโดยผู้ใช้ระบบ (User ID)
ยกเว้นข้อมูลกริดที่จัดเก็บตามตำแหน่งของแนวตั้ง (Column) และแนวนอน (Row)
3) ความสัมพันธ์ทางพื้นที่ (Spatial Topology) ข้อมูลประเภท Vector โดยทั่วไปจะมี
ระบบการจัดเก็บข้อมูลเฉพาะของข้อมูลแต่ละลักษณะ (Each Graphic Object) ซึ่งลักษณะ
ความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลบรรยายในระบบการจัดเก็บแบบนี้เรียกว่า ความสัมพันธ์เชิง
พื้นที่ (Spatial Topology) โดยการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวใช้เนื้อที่น้อย สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้
รวดเร็ว และหลังจากได้สร้าง Topology เรียบร้อยแล้ว ข้อมูลต่างๆ สามารถนำมาวิเคราะห์เชิงพื้นที่ได้
4) การจัดเก็บและการจัดการฐานข้อมูล (Database) นิยมใช้โครงสร้างตามหลักการ
ของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ซึ่งสามารถใช้โปรแกรมระบบจัดการฐานข้อมูลเชิง
สัมพันธ์ (Relational Database Management System: RDBMS) เพื่อการจัดการฐานข้อมูล เช่น
Microsoft Access, Oracle และ dBase ในการเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกราฟิกและข้อมูลลักษณะ
สัมพันธ์ได้ โดยตารางข้อมูลที่ใช้อธิบายข้อมูลเชิงพื้นที่หรือที่เรียกว่า Attribute จะถูกจัดเก็บในรูปแบบ
ที่สัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อให้เป็นข้อมูลที่มีความถูกต้องและง่ายต่อการปรับแก้และเรียกใช้ ข้อมูล
แต่ละเรื่องควรแยกเก็บเป็นคนละแฟ้มข้อมูล (File) และแยกจากข้อมูลกราฟิกหรือข้อมูลเชิงพื้นที่ แต่
ต้องมีรายละเอียดในรายการใดรายการหนึ่ง (Field) ที่มีค่าและคุณลักษณะ (ตัวเลขหรือตัวอักษร) ที่เหมือนกันเพื่อใช้เชื่อมโยงตารางข้อมูลเข้ากับข้อมูลเชิงพื้นที่ หรือเชื่อมโยงตารางข้อมูลหนึ่งกับอีก
ตารางหนึ่ง
การใช้ระบบฐานข้อมูลมีข้อดีดังต่อไปนี้
• ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล การนำข้อมูลเรื่องเดียวกันมาจัดเก็บอย่างเป็นระบบ
ในฐานข้อมูลหนึ่งและให้บริการแก่ผู้ใช้ซึ่งอาจมีได้มากกว่า 1 กลุ่ม เป็นการประหยัดทรัพยากรและมี
ความสะดวกในการควบคุมคุณภาพของข้อมูล
• เลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูล ในการดำเนินการกับข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม ลบ
หรือแก้ไขข้อมูลอาจทำให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลได้ เช่น กรุงเทพมหานคร กรุงเทพฯ และ กทม. ใน
ตารางที่ 1 หมายถึงจังหวัดเดียวกันถึงแม้จะพิมพ์ไม่เหมือนกัน เมื่อจัดเก็บในฐานข้อมูลโดยใช้รหัส
จังหวัดในการอ้างอิงดังรูปที่ 10 สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูลได้
• สามารถกำหนดสิทธิในการใช้ข้อมูลของผู้ใช้ได้ การเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลซึ่ง
เป็นศูนย์กลางและจัดการบริการให้กับผู้ใช้หลายกลุ่ม ผู้จัดการฐานข้อมูลสามารถกำหนดสิทธิในการใช้
ข้อมูลให้กับผู้ใช้แต่ละกลุ่มได้ตามระดับความจำเป็นในการใช้งาน
• สามารถควบคุมมาตรฐาน ผู้บริหารฐานข้อมูลเป็นผู้ควบคุมมาตรฐานด้านต่างๆ
ของข้อมูล การรวมข้อมูลไว้ที่ศูนย์กลางทำให้การบริหารมาตรฐานดำเนินการได้สะดวก
• สามารถควบคุมความปลอดภัยของฐานข้อมูล เนื่องจากผู้ใช้หลายกลุ่มถูก
กำหนดมีสิทธิในการเข้าใช้ข้อมูลแตกต่างกันไป การกำหนดระดับของผู้ใช้จึงเป็นกลไกสำคัญในการ
รักษาความปลอดภัยของข้อมูล
• สามารถควบคุมความคงสภาพ (Integrity) ของข้อมูล ความคงสภาพขอข้อมูล
หมายถึง การที่ข้อมูลมีคุณสมบัติสอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น ข้อมูลจำนวนนักเรียนต้องมีค่าไม่
น้อยกว่า 0 เป็นต้น ในกระบวนการจัดการฐานข้อมูลสามารถกำหนดกฎความคงสภาพของข้อมูลได้
ประโยชน์ของการใช้ฐานข้อมูลจะเด่นชัดขึ้นสำหรับระบบใหญ่ๆ ซึ่งมีผู้ใช้หลายคน
และข้อมูลมีปริมาณมาก ซอฟต์แวร์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์โดยทั่วไปไม่ได้เป็นระบบที่มีผู้ใช้หลาย
คน (Multi-user) ดังนั้นการใช้ฐานข้อมูลจึงมีจุดประสงค์เพื่อจัดการข้อมูลปริมาณมากๆ เท่านั้น
บทบาทของการจัดการฐานข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์จะเด่นชัดขึ้น หากมีการใช้เรียกใช้
ข้อมูลเชิงพื้นที่และทำการวิเคราะห์ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้น
ตามลำดับ
3.3 การวิเคราะห์ข้อมูล
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) มีความสามารถในการนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่
หลายๆ ชั้นข้อมูล (Layer) มาซ้อนทับกัน (Overlay) เพื่อทำการวิเคราะห์และกำหนดเงื่อนไขต่างๆ โดย
ใช้คอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ หรือตามแบบจำลอง (Model) ซึ่งอาจเป็นการเรียกค้นข้อมูลอย่างง่าย
หรือซับซ้อน เช่น โมเดลทางสถิติหรือโมเดลทางคณิตศาสตร์ ทั้งนี้เนื่องจากชั้นข้อมูลต่างๆ ถูกจัดเก็บ
โดยอ้างอิงค่าพิกัดทางภูมิศาสตร์ มีการจัดเก็บอย่างมีระบบและประมวลผลโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
ผลที่ได้รับจากการวิเคราะห์จะเป็นอีกชั้นข้อมูลหนึ่งที่มีลักษณะแตกต่างไปจากชั้นข้อมูลเดิม
การวิเคราะห์ข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มีหลายรูปแบบ ซึ่งในเอกสารนี้จะ
บรรยายถึงการวิเคราะห์ 4 รูปแบบหลักๆ ดังนี้
3.3.1 พื้นที่กันชน
การสร้างแนวพื้นที่รอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นระยะทางตามที่กำหนด เรียกว่า การสร้างพื้นที่
กันชน สำหรับข้อมูลแบบเวคเตอร์ สามารถสร้างพื้นที่กันชนรอบจุด เส้น และพื้นที่ ได้ ส่วนข้อมูล
ราสเตอร์ก็สามารถสร้างพื้นที่กันชนได้เช่นกัน แต่ด้วยลักษณะโครงสร้างข้อมูลซึ่งเป็นกริดเซลล์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากริดเซลล์มีขนาดใหญ่ การสร้างพื้นที่กันชนก็จะยิ่งมีความคลาดเคลื่อน
เชิงระยะทาง ดังนั้นการสร้างพื้นที่กันชนจึงมักจะใช้สำหรับข้อมูลแบบเวคเตอร์ สำหรับข้อมูล
ประเภทหนึ่งๆ สามารถสร้างพื้นที่กันชนได้หลายช่วง (Ring) ตามระยะทางที่กำหนด
3.3.2 การซ้อนทับข้อมูลเชิงพื้นที่
การซ้อนทับข้อมูลเชิงพื้นที่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลหลายชั้นข้อมูลร่วมกัน โดยข้อมูล
เหล่านั้นต้องอยู่ในบริเวณเดียวกันและมีคุณลักษณะต่างกัน ผลจากการวิเคราะห์จะทำให้ได้ชั้นข้อมูล
ใหม่ เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต A โดยชั้นข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ร่วมกัน
ประกอบด้วย การกระจายของสิ่งมีชีวิตชนิด X, Y และ Z ซึ่งมีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิต A ชั้นข้อมูลภูมิ
ประเทศ ชั้นข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน ชั้นข้อมูลการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน
3.3.3 การวิเคราะห์โครงข่าย (Network Analysis)
ในการวิเคราะห์โครงข่ายจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลประเภทเส้น (Line) เท่านั้น โดย
ข้อมูลประเภทเส้นในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ประกอบด้วยเส้นสมมติ เช่น เส้นรุ้ง เส้นแวง และเส้น
ขอบเขตการปกครอง ส่วนอีกประเภทหนึ่งเป็นข้อมูลประเภทเส้นที่ปรากฏอยู่จริง เช่น เส้นถนน เส้น
แม่น้ำ และเส้นทางสายไฟฟ้า ในการวิเคราะห์โครงข่ายจะวิเคราะห์เฉพาะข้อมูลเส้นที่ปรากฏอยู่จริง
3.3.4 การวิเคราะห์พื้นผิว (Surface Analysis)
การวิเคราะห์พื้นผิวเป็นการวิเคราะห์การกระจายของค่าตัวแปรหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือน
เป็นมิติที่ 3 ของข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยข้อมูลเชิงพื้นที่มีค่าพิกัดตามแนวแกน X และ Y ส่วนตัวแปรที่นำมา
วิเคราะห์เป็นค่า Z ที่มีการกระจายตัวครอบคลุมทั้งพื้นที่ ตัวอย่างของค่า Z ได้แก่ ข้อมูลความสูงของ
พื้นที่ ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และราคาที่ดิน เป็นต้น ผลจากการวิเคราะห์พื้นผิวสามารถแสดงเป็น
ภาพ 3 มิติให้เห็นถึงความแปรผันของข้อมูลด้วยลักษณะสูงต่ำของพื้นผิวนั้น การแสดงข้อมูลพื้นผิว
สามารถใช้โครงสร้างข้อมูลแบบเวคเตอร์โดยการใช้ Triangulated Irregular Network (TIN) หรือใช้
โครงสร้างแบบราสเตอร์โดยการใช้ Digital Elevation Model (DEM)
• TIN แสดงลักษณะของพื้นผิวโดยการใช้รูปสามเหลี่ยมหลายรูปซึ่งมีด้านประชิดกัน
และใช้จุดยอดร่วมกันเรียงต่อเนื่องกันไป โดยค่า Z จัดเก็บอยู่ที่จุดยอดของสามเหลี่ยม จุดเหล่านี้จะ
กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ โดยพื้นที่ที่มีความแตกต่างของค่า Z มากๆ จุดจะอยู่ใกล้ๆ กัน แต่พื้นที่ที่มีค่า
Z ไม่แตกต่างกันนัก
• DEM มีลักษณะเป็นกริดเซลล์ขนาดเท่ากันเรียงต่อเนื่องกันครอบคลุมทั้งพื้นที่ ค่า
ประจำกริดเซลล์คือค่า Z ดังนั้นค่า Z ในพื้นที่จึงมีการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ
3.4 การแสดงผลข้อมูล
ผลที่ได้รับจากการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถนำ เสนอหรือแสดงผลได้ทั้งบน
จอคอมพิวเตอร์ (Monitor) ผลิตออกเป็นเอกสาร (แผนที่และตาราง) โดยใช้เครื่องพิมพ์ หรือ Plotter
หรือสามารถแปลงข้อมูลเหล่านั้นไปสู่ระบบการทำงานในโปรแกรมอื่นๆ ในรูปแบบของแผนที่ (Map)
แผนภูมิ (Chart) หรือตาราง (Table) ได้
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
กำเนิดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี
อุบลราชธานี ดินแดนแห่งปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา เป็นถิ่นกำเนิดของพระอาจารย์ทางวิปัสนา คือ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เป็นต้น กล่าวกันว่า เมือง อุบลราชธานีเป็นต้นรากแห่งการขยายพระพุทธศาสนาและวัดวาอาราม ให้แพร่หลายยิ่งกว่าในทุก หัวเมืองในภาคอีสาน
เดิมงานประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี มีจัดเฉพาะตามคุ้มวัดต่างๆ เท่านั้น จนกระทั่งปี พ.ศ. 2444 เมืองอุบลราชธานีจัดงานบุญบั้งไฟ โดยทุกคุ้มจะนำบั้งไฟมารวมกันที่วัดหลวง ริมแม่น้ำมูล มีการแห่บั้งไฟไปรอบเมืองและจุดขึ้นไปบนท้องฟ้าทำให้เกิดอุบัติเหตุ บั้งไฟตกลงมา ถูกชาวบ้านตายในงาน มีการชกต่อย ตีรันฟันแทงกัน ก่อเหตุวุ่นวายไปทั้งงาน กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ผู้สำเร็จราชการเมืองอุบลฯ สมัยนั้น ให้ยกเลิกงานประเพณีบุญบั้งไฟเสีย แล้วให้มาจัดงาน ประเพณีแห่เทียนพรรษาแทน ในสมัยแรกๆ นั้นไม่มีการประกวดเทียนพรรษา แต่ชาวบ้านจะกล่าว ร่ำลือกันไปว่า เทียนคุ้มวัดนั้นงาม เทียนคุ้มวัดนี้สวย ผู้สำเร็จราชการเมืองอุบลฯ จึงเห็นควรให้มีการประกวดเทียนพรรษาก่อน แล้วแห่รอบ เมือง ก่อนจะนำไปถวายพระที่วัด
การจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี มีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมา โดยชาวบ้านในแต่ละคุ้มวัด ก็จัดตกแต่งต้นเทียนของวัดตนให้สวยงาม นำมารวมกันที่บริเวณทุ่งศรีเมืองเพื่อประกวดแข่งขันกัน จากงานของชาวบ้าน ก็พัฒนามาสู่การสนับสนุนอย่างจริงจังจากส่วนราชการ พ่อค้า ห้างร้านเอกชน ร่วมกับประชาชน ทายกทายิกาคุ้มวัดต่างๆ และใน ปี พ.ศ. 2519 จังหวัดอุบลราชธานีได้เชิญ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อ.ส.ท. ในขณะนั้น) มาสังเกตการณ์ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมาทางจังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้งานประเพณีแห่เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นงานประเพณีระดับชาติ โดยเฉพาะในปีท่องเที่ยวไทย (Amazing Thailand 2541-2542) งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็น 1 ในงานประเพณีที่ถูกโปรโมตเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับชาวต่างชาติ
เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเทียนหลวงมาเป็นเทียนนำชัยขบวนแห่ แล้วจึงนำไปถวายยังอารามหลวงในจังหวัดอุบลราชธานี หมุนเวียนไปเป็นประจำทุกปี
งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นงานประเพณีที่รวมความผูกพันของชุมชนท้องถิ่น โดยเริ่มตั้งแต่การที่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคเทียนเอามาหลอม หล่อเป็นเทียนเล่มใหญ่เล่มเดียวกัน
ภูมิปัญญาชาวบ้านในงานแห่เทียนงานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นงานประเพณีที่รวมความผูกพันของชุมชนท้องถิ่น โดยเริ่มตั้งแต่การที่ชาวบ้านร่วมบริจาคเทียนเอามาหลอม หล่อเป็นเทียนเล่มใหญ่เล่มเดียวกัน เป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่คณะไปในตัว การสรรหาภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่มีฝีมือทางช่าง มีความรู้ ความชำนาญในเรื่อง การทำลวดลายไทย การแกะสลักลวดลายลงบน ต้นเทียน การทำเทียนให้เป็นลายไทย แล้วนำไปติดบนต้นเทียน การประดับด้วยผ้าฝ้าย ผ้าไหม ดอกไม้สด ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของช่างในท้องถิ่น ส่วนการจัดขวนแห่ก็ล้วนแต่ใช้ของพื้นเมือง เช่น เครื่องแต่งกายขอขบวนฟ้อน จะใช้ผ้าพื้นเมืองเป็นหลัก การฟ้อนรำจะใช้ท่ารำที่ดัดแปลงมาจาก วิถีชีวิต การทำมาหากินของชาวบ้าน เป็นท่ารำในรูปแบบของศิลปะที่งดงาม ดนตรีประกอบก็เป็น เครื่องดนตรีประจำถิ่น ผสมเข้ากับการขับร้องที่สนุกสนานเร้าใจ ทำให้งานประเพณีนี้ยิ่งใหญ่ ประชาชนต่างเฝ้ารอคอย
ศิลปะการฟ้อนรำที่นิยมนำมาประกอบการแสดงในขบวนแห่ คือ การรำเซิ้งต่างๆ เช่น เซิ้งกระลอ เซิ้งกระติบ เซิ้งสวิง เซิ้งแหย่ไข่มดแดง ซึ่งดัดแปลงมาจากการประกอบอาชีพในวิถีชีวิต ประจำวันทั้งสิ้น
งานแห่เทียนพรรษา เป็นงานที่ทำให้คนวัยรุ่น หนุ่มสาว ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดและสัมผัส กับศิลปวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่การเข้าเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือ เป็นลูกมือช่างของทาง วัดในการแกะสลักทำลวดลายต้นเทียน ค้นคว้าหาวิธีการทำเพียรพรรษาให้วิจิตรพิศดาร งดงาม แต่ประหยัด การเข้าร่วมในขบวนแห่จะเป็นการผสมผสานระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ เช่น การเล่นดนตรีพื้นบ้าน โปงลาง หรือเป่าแคน จะมีทั้งผู้สูงอายุและคนหนุ่มสาว ส่วนขบวนฟ้อนรำ จะใช้เด็กๆ รุ่นเยาว์ ถึงวัยหนุ่มสาวมากกว่าคนสูงวัย ซึ่งคาดหวังได้ว่า ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น จะสืบทอดต่อไปอีกยาวไกล
วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เรียนรู้เทคโนโลยี GIS เบื้องต้นกัน Part 1
1.ความหมายของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) หมายถึง เครื่องมือที่ใช้
ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการนำเข้า จัดเก็บ จัดเตรียม ดัดแปลง แก้ไข จัดการ และวิเคราะห์
พร้อมทั้งแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ ตามวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่กำหนดไว้ ดังนั้น GIS จึงเป็นเครื่องมือที่มี
ประโยชน์เพื่อใช้ในการจัดการ และบริหารการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสามารถ
ติดตามการเปลี่ยนแปลงข้อมูลด้านพื้นที่ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นระบบที่เกี่ยวข้อง
กับระบบการไหลเวียนของข้อมูล และการผสมผสานข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น ข้อมูลปฐมภูมิ
(Primary Data) หรือข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เพื่อให้ได้สารสนเทศที่มีคุณค่าและสามารถ
นำไปใช้ในการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.องค์ประกอบของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 5 ส่วน คือ ข้อมูล/สารสนเทศ
(Data/Information), เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ (Hardware), โปรแกรม (Software), และ
บุคลากร (User/People), และขั้นตอนการทำงาน (Procedure)
2.1 ข้อมูล (Data/Information)
ข้อมูลที่จะนำเข้าสู่ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ควรเป็นข้อมูลเฉพาะเรื่อง (Theme)
และเป็นข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ในการตอบคำถามต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ เป็นข้อมูลที่มีความ
ถูกต้องและเชื่อถือได้ และเป็นปัจจุบันมากที่สุด โดยข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์แบ่งออกได้
เป็น 2 ประเภท คือ ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) และข้อมูลอธิบาย (non-Spatial Data or Attribute
Data)
1. ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) เป็นข้อมูลที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
(Geo-Reference Data) ของรูปลักษณ์ของพื้นที่ (Graphic Feature) ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ ข้อมูลที่แสดง
ทิศทาง (Vector Data) และข้อมูลที่แสดงเป็นตารางกริด (Raster Data) โดยข้อมูลที่มีทิศทาง
ประกอบด้วยลักษณะ 3 อย่าง คือ
- ข้อมูลจุด (Point) เช่น ที่ตั้งหมู่บ้าน โรงเรียน หรือวัดเป็นต้น
- ข้อมูลเส้น (Line) เช่น ถนน แม่น้ำ เป็นต้น
- ข้อมูลพื้นที่ หรือเส้นรอบรูป (Polygon) เช่น แหล่งน้ำผิวดิน เป็นต้น
ข้อมูลประเภทราสเตอร์ (Raster Data) จะเป็นลักษณะตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆ (Grid
Cell or Pixel) เท่ากันและต่อเนื่องกัน ซึ่งสามารถอ้างอิงค่าพิกัดทางภูมิศาสตร์ได้ ขนาดของตารางกริด
หรือความละเอียด (Resolution) ในการเก็บข้อมูลจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับการจัดแบ่งจำนวนแถว
(Row) และจำนวนคอลัมน์ (Column) ตัวอย่างข้อมูลที่จัดเก็บโดยใช้ตารางกริด เช่น ภาพดาวเทียม
หรือข้อมูลระดับค่าความสูง (Digital Elevation Model: DEM) เป็นต้น
2. ข้อมูลที่ไม่อยู่ในเชิงพื้นที่ (Non-spatial data) หรือข้อมูลเชิงเฉพาะ
(Attribute data) ข้อมูลเชิงเฉพาะ หมายถึง ลักษณะประจำตัว หรือลักษณะที่มีความแปรผันในการ
ชี้วัดปรากฏการณ์ต่างๆ ตามธรรมชาติ โดยจะระบุถึงสถานที่ที่ทำการศึกษา ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ
ลักษณะข้อมูลเชิงเฉพาะ (Attribute) อาจมีลักษณะที่ต่อเนื่องกัน เช่น เส้นชั้นระดับความสูง (Terrain
Elevation) หรือเป็นลักษณะที่ไม่ต่อเนื่อง เช่น จำนวนพลเมือง (Number of Inhabitants) และชนิด
ของสิ่งปกคลุมดิน ( Land Cover Type ) เป็นต้น ค่าความแปรผันของลักษณะข้อมูลเชิงเฉพาะนี้ จะ
ทำการชี้วัดออกมาในรูปของตัวเลข (Numeric) โดยกำหนดเกณฑ์การวัดออกเป็น 3 ระดับ คือ
1) ระดับนามบัญญัติ (Nominal Level) เป็นระดับที่มีการชี้วัดข้อมูลอย่าง
หยาบๆ โดยจะกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ เพื่อจำแนกลักษณะของสิ่งต่างๆ เท่านั้น เช่น การใช้
ประโยชน์ที่ดินในพื้นหนึ่งจำแนกได้เป็น ป่าไม้ แหล่งน้ำ ทุ่งหญ้า ฯลฯ เป็นต้น ลักษณะเหล่านี้อาจจะ
แทนค่าโดยตัวเลขเช่น 1 = ป่าไม้ 2 = ทุ่งหญ้า 3 = แหล่งน้ำ เป็นต้น ซึ่งค่าเหล่านี้ไม่สามารถทำการ
เปรียบเทียบกันได้ว่า 1 มากกว่า 2 หรือมากว่า 3 ในแง่ของค่าตัวเลข
2) ระดับเรียงลำดับ (Ordinal Level หรือ Ranking Level) เป็นการ
เปรียบเทียบลักษณะในแต่ละปัจจัยว่ามีขนานเล็กกว่า เท่ากัน หรือ ใหญ่กว่า เช่น พื้นที่ป่าไม่มีขนาด
ใหญ่กว่าพื้นที่ทุ่งหญ้าหรือ 1>2 หรือการให้สัญลักษณ์แทนลักษณะของถนน เช่น ถนนสายเอเชีย =
1 และถนน 2 เลน = 2 ถนนทางลูกรัง = 3 อาจจะบ่งบอกถึงความสำคัญว่า 1 สำคัญกว่า 2 แต่บอก
ไม่ได้ว่าสำคัญกว่าเป็นปริมาณเท่าใด
3) ระดับอันตรภาค หรืออัตราส่วน (Interval - Ratio Level) เป็นการ
พิจารณาถึงความสัมพันธ์ในระหว่างแต่ละปัจจัยของ Ordinal Level ว่ามีความแตกต่างกันมากน้อย
เพียงใด เช่น พื้นที่ป่าไม้มีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ทุ่งหญ้า 2 เท่า หรือเส้นชั้นความสูงที่ระดับ 500 เมตร
สูงกว่าที่ระดับ 400 เมตรอยู่ 100 เมตร เป็นต้น
ดังนั้นลักษณะข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial) และข้อมูลเชิงเฉพาะ (Attribute) นี้จะมี
ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยความสันพันธ์ดังกล่าวเป็นไปได้ทั้งในแบบต่อเนื่อง (Continuous)
และไม่ต่อเนื่อง (Discrete) เช่น แผนที่ภูมิประเทศ (Topographic Map) จะแสดงถึงเส้นระดับความ
สูงที่มีความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในแต่ละชั้นระดับความสูง
นั้นจะมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่ไม่ต่อเนื่อง โดยจะแปรผันไปตามปัจจัยและสภาพแวดล้อมที่
เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น เป็นต้น
2.2 เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ
เครื่องคอมพิวเตอร์ รวมกันเรียกว่า ระบบฮาร์ดแวร์ (Hardware) จะประกอบด้วย
คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การนำเข้า เช่น Digitizer, Scanner, Global Positioning System (GPS),
อุปกรณ์อ่านข้อมูล เก็บรักษาข้อมูล และแสดงผลข้อมูล เช่น Printer Plotter เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์แต่ละ
ชนิดจะมีหน้าที่และคุณภาพแตกต่างกันออกไป
2.3 โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ (Software)
Software หมายถึง โปรแกรมที่ใช้ในการจัดการระบบ และสั่งงานต่างๆ เพื่อให้ระบบ
ฮาร์ดแวร์ทำงาน หรือเรียกใช้ข้อมูล ที่จัดเก็บในระบบฐานข้อมูลมาทำงานตามวัตถุประสงค์ โดยทั่วไป
ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จะประกอบด้วย หน่วยนำเข้าข้อมูล หน่วยเก็บ
ข้อมูลและการจัดการข้อมูล หน่วยวิเคราะห์ หน่วยแปลงข้อมูล หน่วยแสดงผลและหน่วยตอบโต้กับผู้ใช้
(User Interface)
2.4 บุคลากร (Human Resource)
บุคลากร จะประกอบด้วยนักวิเคราะห์หรือสร้างระบบ (Analyst) และผู้ใช้สารสนเทศ
(User) โดยผู้ใช้ระบบหรือผู้ชำนาญการ GIS จะต้องมีความชำนาญในหน้าที่ และได้รับการฝึกฝน
มาแล้วเป็นอย่างดี พร้อมที่จะทำงานได้เต็มความสามารถ โดยทั่วไปผู้ใช้ระบบจะเป็นผู้เลือกระบบ
ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ และสนองตอบความต้องการของหน่วยงาน ส่วน
ผู้ใช้สารสนเทศ (User) คือนักวางแผน หรือผู้มีอำนาจตัดสินใจ (Decision-maker) เพื่อนำ
ข้อมูลมาใช้ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)