วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

15 วันของหลวงพี่น้องใต้ร่มเงาชายคาผ้าเหลืองของพระพุทธองค์(ภาคจบ)




วันที่เจ็ด...ไม่สบาย”  วันที่เจ็ดแล้วครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เหมือนวันอื่นๆ วัดเงียบมาก เพราะไม่มีงานโยธา แต่วิ่งที่พิเศษดันเข้ามาคือการเป็นไข้ไม่สบาย เนื่องมาจากอากาศเปลี่ยนแปลง วันนี้เลยทำได้แต่ฉันท์เช้า เพล ทานยาและจำวัด จำวัดและก็จำวัด...โอ้ วันนี้มันช่วงแสนยาวนานเหลือเกิน ดีหน่อยที่พรุ่งนี้กับมะรืนนี้ต้องไปเรียนหนังสือ ก็น่าจำทำให้สองวันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไปพบปะญาติๆเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันคงจะดีไม่น้อยแฮะ....

วันที่แปด ไปเรียนหนังสือวันนี้มีอะไรพิเศษกว่าวันอื่นๆที่ผ่านมาคือ วันนี้ได้ไปเรียนหนังสือแต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิม กลับเป็นห่มผ้าเหลืองไปเรียน ทำให้วันนี้ได้พบเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เรียนด้วยกัน ทำให้มีความสุขไปอีกแบบ แต่ภายใต้ความสุขนั้นยังมีความทุกข์คือ ดูเหมือนว่าจะไม่สบายเพราะแอร์ในห้องเรียนเย็นมากๆ ทำให้มีอาการคล้ายจะไม่สบายอยู่เหมือนกัน พรุ่งนี้ต้องไปสอบด้วย เอ้า สู้กันต่อไปพระเพชร...

วันที่เก้า การสอบได้ผ่านไปวันนี้ไปสอบมาครึ่งวันไม่รู้ผลจะเป็นยังไง แต่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ตอนเช้ามีรับกิจนิมนต์ที่หอพักชานหมู่บ้าน มีโอกาสได้เจอพระอาจารย์มหาฯ อีกหน งานนี้เล่นเอาเกือบไปสอบไม่ทัน กลับมาช่วงบ่ายก็ทำงานตามปก กวาดลานวัด รถน้ำต้นไม้ แต่รู้สึกว่าวันนี้ผ่านไปเร็วมาก พรุ่งนี้คือวันจันทร์แล้ว ถ้าเป็นตอนที่ยังไม่บวชก็คงเตรียมตัวไปทำงานแต่นี่ยังไม่ได้ล่าสิกขาบทเลยต้องทำหน้าที่สงฆ์ต่อไป นับไปนับมาเหลืออีก 7 วันคือวันอาทิตย์ถัดไปก็จะเวลาสิกขาบทแล้ว ต้องกลับไปทำหน้าที่คราวาสต่อไปแล้ว มองไปมองมาเร็วเหมือนกันแฮะ....

วันที่สิบ เพื่อนแท้มีอยู่จริงหรือเข้าสู่วันที่สิบที่ได้มาบวชแล้ว วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษๆ เลย จนกระทั่งช่วงสายๆ ก่อนเพล หมาวัดสองตัวที่หลวงปู่ท่านได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ เล่นด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกันมาตลอด จู่ๆ วันนี้ดันมาทะเลาะกันกัดกันแบบเอาเป็นเอาตายไม่มีใครยอมใคร...มันทำให้หลวงพี่อดคิดไม่ได้ว่า...เพื่อนแท้นั้นมีอยู่จริงไหม??” ขนาดหมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดชนิดนึ่ง ยังมากัดเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของตนได้แบบไร้สาเหตุ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็หยอกล้อ คลอเคลียร์กันเป็นอย่างดี แล้วประสาอะไรกับมนุษย์ตาดำๆ อย่างหลวงพี่หรือโยมทั้งหลาย ที่จะไม่มีความรักโลภโกรธหลงเข้ามาแทรกได้....จริงไหมทุกท่าน ???

วันที่สิบเอ็ด.....เปลี่ยนแผนกระทันหันวันนี้วันสบายๆอีกวัน ไม่มีปัญหาเรื่องการคลุมผ้าอีกต่อไป แต่ก้ได้รับข่าวที่ค่อนข้างประหลาดใจพอสมควร เมื่อสำนักพระราขวังแจ้งเลื่อนกำหนดการพระราชทานปริญญาบัตรสำหรับ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและ มข. มมส. ออกไปเป็น เมษายน 2556 เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ทรงประชวร จึงทำให้ต้องปรับแผนใหม่พอสมควร จากเดิมมีกำหนดที่จะไปถ่ายภาพบัณฑิต ต้องเปลี่ยนมาเป็นอาจจะไปต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่เดินทางมาจาก เมืองเวียงจันทร์ (งานนี้มีแอบยิ้มในใจเล็ก เพราะอะไรนั้นยังไม่บอก) แต่ต้องรอเช็ดกับทางท่านอุปชาและหลวงปู่ว่าขึ้นตอนในการลาสิกขาบทนั้นจะใช้เวลานานไหม ถ้านานอาจจะไม่ได้ร่วมเดนิทางไปด้วยในวันแรกก็เป็นได้
จากการเลือกกำหนดการพระราชทานปริญญาบัตรดังกล่าวนั้น หลวงพี่คิดถึงสำนวนไทยอยู่คำนึ่งคือ กระต่ายตื่นตูมเพราะช่วงแรกๆที่มีข่าวมาต่างตื่นตัวกันยกใหญ่ ขนาดมหาวิทยาลัยฯเอง ยังลงข่าว แล้วลบข่าวอันนี้เป็นไปได้... ต้องรอช่วงบ่ายๆ ถึงยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเลื่อนแน่นอน....

วันที่สิบสอง สบายใจเหตุใดจึงกลว่าว่าสบายได้อย่างเต็มปาก ก็เพราะว่าหลวงพี่ครองผ้าเหลืองมาได้ 12 วันเต็มๆ แล้ว ช่างน่าดีใจเป็นยิ่งนัก วันนี้รู้สึกสบายใจมากๆ เริ่มคิดวางการดำเนินชีวิตหลังลาสิกขาบท ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ตามลำดับความสำคัญ พร้อมกันนี้ก็ไม่ลืมที่จะท่องบทให้ศีลและบทลาสิกขาบทให้ได้สักครั้งก่อนลาสิกขาบทออกไป
แต่คิวงานทั้งงานราช งานหลวงมี่รออยู่ยาวเช่นเดียวกัน ฉะนั้นจงวางแผนในการใช้ชีวิตให้ดี...แล้วชีวิตนี้จะคุ้มค่า ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

วันที่สิบสาม พรุ่งนี้วันพระวันนี้สบายๆ ใกล้ครบกำหนดตามที่ให้คำมั่นไว้แล้ว หลวงพี่รู้สึกสบายใจขึ้นมากช่วงนี้ พรุ่งนี้เป็นวันพระมีภารกิจที่จะต้องเตรียมที่ทางสำหรับทำกิจกรรมทำบุญวันพระไว้ให้ญาติโยมตอนเช้าๆ ของวันพรุ่งนี้ อีกทั้งหลวงพี่เองก็ต้องเตรียมตัวให้ศีลญาติโยมในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมในการปฏิบัติของวัดที่มีมาแต่ช้านานว่า พระใหม่ก่อนที่จะลาสิกขาบท ต้องให้ศีลญาติโยมก่อนอย่างน้องหนึ่งศีล(หนึ่งศีลในที่นี้คือหนึ่งครั้งในวันพระเด้อ) โดยบทให้ศีลมีดังนี้
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธะสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธะสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธะสะ

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง
ปาณาติปาตา เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ
อิทิณณาทานา เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ
มุสาวาทา เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐาณา เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ...

อิมานิ ปัญจะ สิกขา ปะทาณิ สีเลณะ สุคะติง ยันติ สีเลณะ โภคคะสัมปทา
สีเลณะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย
อีกข่าวดีสำหรับวันนี้คือได้รับ E-mail จากท่านรองฯแผน ของคณะฯ ว่า คณะฯได้รับการสนับสนุกงบประมาณในการจัดหาครุภัณฑ์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557 เป็นจำนวนเงินล้านกว่าบาทเลย ดีใจเหมือนกันที่ช่วยคณะฯ ประหยัดงบเงินรายได้พอสมควร...

วันที่สิบสี่ น่าจะเป็นวันที่หินที่สุดในการบวชสิบห้าวัน เหตุที่บอกเช่นนั้นก็เพราะว่าวันนี้แจ๊คพ็อตลงที่พระใหม่เต็มๆ ญาติโยมรวมทั้งหลวงปู่ มอบหมายให้หลวงพี่น้อยให้ศีลในวันพระจริงๆ ด้วย ขนาดเตรียมตัวไปอย่างดีก็ยังออกอาการเขินๆ เพราะคนเยอะต่างจ้องมองที่เรา ดีนะที่เอาตัวรอดมาได้ การได้ให้ศีลในการบวชระยะสั้นๆ เพียง 15 วัน ให้ศีลได้หนึ่งครั้งพ่อแม่ก็ดีใจแล้ว วันนี้หลวงพี่น้อยฉันข้าวนิดเดียว เพราะมันรู้สึกอิ่มในใจ อย่างบอกไม่ถูก เพลก็ยังอิ่มๆ อยู่ ทั้งที่ได้เวลาฉันเพล ฉันได้นิดเดียว แต่...งานมาเข้าตอนเย็นอาการหิวเริ่มมา ต้องพึ่งนมขวดในตู้เย็นที่โยมพ่อซื้อมาตุนไว้ให้ และโอวันติลร้อนๆ ช่วยประทังอาการหิวได้นิดหน่อย เคล็ดไม่ลับอีกอย่างหนึ่งในการช่วยให้คลายหิวคือ...การมานั่งพิมพ์เรื่องราวต่างๆให้เราๆ ท่านได้อ่านกันนี่ละ และอีกอย่างที่ได้ไม่น้อยคือการสวดมนต์และ หัดท่องบทสวดลาสิกขาบท เพราะใกล้เวลาที่จะต้องลาสิกขาแล้ว
โดยบทสาลิกขาบทมีดังนี้
สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถะ
ข้าพเจ้าลาสิกขาบทแล้ว ท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่าข้าพเจ้าคือคฤหัสถ์
และบทแสดงตนเป็นอุบาสก
เอสาหัง พันเต สิจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ อุปาสกัตตัง สังโฆ ธาเรตุ”…

วันที่สิบห้า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะนอนที่วัดในการครองผ้าไตรจีวรตลอดเวลา 15 วัน ที่ผ่านมาได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมากมาย ทำผิดก็นับครั้งไม่ถ้วนเหมือนกัน  ช่วงเวลาที่ผ่านมาดังกล่าวช่างเป็นช่วงเวลาอันน้อยนิดแต่แฝงไปด้วยความพิเศษมากมายสำหรับชีวิตนี้ของหลวงพี่น้อย ที่ได้บวชทดแทนคุณบิดามารดา กลับออกไปหลวงพี่คงมีอะไรให้คิดถึงหลายๆอย่างที่วัด ไม่ว่าจะเป็นคำสอนขแงพระพุทธองค์ที่ว่าด้วยความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งวิถีการใช้ชีวิตในวัดที่ต้องตื่นแต่ตีสี่ ตีห้าทุกๆวันรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าๆ ทุกวัน ที่การใช้ชีวิตข้างนอกนั้นไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ได้เรียนรู้กิจวัตประจำวันอันดีงามของสงฆ์ ว่าวันๆ พระท่านทำอะไรบ้างในเวลา 24 ชั่วโมง เท่าๆกัน คืนนี้คงนอนไม่ค่อยหลับแน่ๆ เพราะมีเรื่องให้คิดมากมาย ทั้งคิดถึงการใช้ชีวิตในวัดแห่งนี้ ทั้งยังต้องคิดเผื่อวันพรุ่งนี้และวันต่อไปว่า หลวงพี่จะต้องทำอะไรบ้างเมื่อลาสิกขาบทออกไป อีกใจนึ่งก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่จะลาสิกขาบทออกไปใช้ชีวิตตามปกติ (มันพอดีกับวันที่คนสำคัญมาพอดี...^^)
ที่เขียนบันทึกเรื่องราว ต่างๆ ขึ้นมานี้หลวงพี่ไม่ได้มีเจตนาจะชักจูงใครที่ชีวิตนี้ไม่คิดจะบวช นั้นมาบวชนะครับ เพียงแต่หลวงพี่อยากบอกว่า....การบวชให้อะไรเรามากกว่าที่เราคิดและเราเห็นการบวชให้อะไรเรามากกว่า การบวชเพื่อแก้บน การบวชเพื่อแต่งงาน การบวชเพื่อทดแทนคุณ แต่การบวชนั้นหมายถึงการเข้ามาอยู่ภายใต้ชายคาผ้าเหลือง ของพระพุทธองค์อันสงบสุข หลวงพี่เองก็ยังไม่บรรลุถึงธรรมหรอก แต่หลวงพี่มองเห็นสิ่งหนึ่งเสมอตลอดการบวช 15 วันนี้คือ หลวงพี่เห็นความสุข ในสายตาของชายหญิงหนึ่งตลอดเวลา 15 วัน สายตาสองคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติ ความยินดีปรีดาที่ได้เห็นลูกชายของท่านอยู่ในชายผ้าเหลือง....


15 วันของหลวงพี่น้องใต้ร่มเงาชายคาผ้าเหลืองของพระพุทธองค์(ภาคหนึ่ง)





หลายคนคงเฝ้าถามตลอดว่า ทำไมลูกผู้ชาย เกิดมาถ้ายังไม่ได้บวช เขาจะเรียกว่าคนดิบ เมื่อบวชแล้วเข้าจะเรียกคนสุกนานาเหตุผลที่ได้เคยได้ยินมา บ้างก็ว่าเป็นกุศโลบายของการที่ชายหนุ่มในวัยก่อนเบญจเพสหรือใกล้เคียงกันที่จะต้องบวชทดแทนคุณบิดามารดา บ้างก็ว่าการบวชเป็นเหมือนการทำให้บิดามารดา ได้มีโอกาสได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ แต่จะเท็จจริงประการใดนั้นไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้แน่ๆ แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง ที่พิสูจน์แน่นอนและทันตาเห็นเมื่อตอนบวช นั่นก็คือ การทดแทนบุญคุณบิดามารดา ความปลื้มปิติ ความตื้นตันใจ ที่ออกมาจากแววตาที่ลายได้บวชทดแทนคุณนั้น มันเห็นได้อย่างชัดเจน....เหล่าบรรดาญาติมิตร เพื่อนฝูงต่างมาร่วมอนุโมทนาบุญกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ระยะเวลา 15 วันจะว่านาน มันก็นานแสนนานเหมือนเวลา 15 ปี ในบางความรู้สึก แต่จะว่าเร็วมันก็คงผ่านไปไวเหมือนโกหกเช่นกัน....แต่ถ้ามองแบบกลางๆ แล้ว ระยะเวลา 15 วันคงเป็นระยะเวลาที่มีความพอดีในหลายๆอย่าง ๆสำหรับคนวัยทำงานอย่างเราๆ (อันนี้ในความคิดผมเองนะ) พอดีแรกคือพอดีกับระยะเวลาในการศึกษาพระธรรมเป็นช่วงสั้นๆ อย่างน้อยก็คงให้ศีลแก่ญาติโยมได้บ้าง พอดีที่สองคือได้ห่างจากโลกมนุษย์ที่แสนวุ่นวาย ห่างจากสังคมที่แสนเบื่อหน่ายไปสักชั่วระยะหนึ่ง พอดีที่สามคือคงทำให้สมาธิ ความมุ่งมะนะในการที่จะทำงาน ในการที่จะอะไรๆ อย่างตั้งใจเพราะห่างหายไปนานพอสมควร
มาดูวิว่า วันๆ พระท่านต้องทำอะไรบ้าง.......
วันแรก....บวชเสร็จใหม่ยังงงๆ กับการเปลี่ยนสถานะจากคราวาสธรรมดา มาพระภิกษุบอกได้อย่างเดียวว่าทำอะไรไม่ถูก ต้องสังเกตหลวงตา และคอยทำตามท่านว่าท่านทำอะไรบ้าง เริ่มจากการคลุมผ้าจีวร ที่ยังคลุมไม่เป็นต้องคอยให้หลวงตาท่านช่วยสอนคลุมผ่าไตรจีวร ซึ่งดูแล้วไม่ง่ายเลย การคลุมผ้าไตรจีวรนั้นมีสองวิธีคือการคลุมผ้าออกไปบิณฑบาตตอนเช้า ซึ่งการคลุมแบบนี้จะให้ผ้าไตรจีวรปิดมิดชิดทั้งหมด โดยจะเปิดแง้มออกเมื่อตอนเปิดฝาบาตรรับบิณฑบาตเท่านั้น ส่วนอีกแบบเป็นการห่มแบบที่ใช้รับกิจนิมนต์และนั่งฉันท์ที่วัด....การนั่งการปฏิบัติตัวทุกอย่างต้องสำรวม ข้อห้ามมีอย่างมากมาย ผ่านไปอย่างงงๆ หรับวันแรก และยังมีความไม่แน่ใจอยู่ในหัวเสมอว่า เราจะอยู่ครบไหม 15 วัน....
วันที่ 2 เอ๊ะ...นึกไปนึกมาไวเหมือนกัน แป๊บเดียว 2 วันละเหลืออีก แค่ 13 วันต้องทำได้สิน่า...แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับการเป็นสงฆ์ หลายๆคำสอนจากพระอาจารย์เริ่มมาให้พระใหม่ได้เรียนรู้และศึกษา เสร็จกิจตอนเช้า วันนี้มีงานโยธาที่วัดงานเทคอนกรีตถนน เลยดีหน่อยมีผู้คนมาวัดเยอะแยะไปหมด แต่ก็วุ่นวายพอดู แถมโยมพ่อมาร้องให้ต่อหน้าให้เห็นถึงความปลาบปลื้ม ก็เลยพลอยทำให้คิดถึงบ้านไปใหญ่
วันที่ 3...ผ่านไปสามวันเริ่มปรับตัวได้มากขึ้น แต่วันนี้ก็ยังคึกคักเพราะมีงานโยธาที่วัด มีการเทพื้นคอนกรีตที่ถนนรอบๆวัด คนมาเหมือนทำบุญกฐินก็ดีเหมือนกันนะไม่เหงาดี ตอนที่ทำงาน ตอนที่ทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมๆกับโยม แต่เมื่อมาจำวัด มาท่องหนังสือ ก็อดคิดเหงาๆ ไม่ได้ เพราะ เป็นโรคอยู่คนเดียวไม่ค่อยจะได้...แต่วันนี้ดีหน่อยมีพระอาจารย์จากทาง อ.เสนาคนิคม มาจำวัดด้วยสักสี่-ห้าวัน เลยทำให้ไม่เหงาเท่าไหร่ พระอาจารย์ท่านนี้เป็นพระอาจารย์สวด จบการศึกษาระดับ ป.โท แล้ว ถือว่าไม่ธรรมดา ก็ได้ท่านเป็นเพื่อนสนทนาในหลายๆเรื่องถือว่าดี แต่ก็ยังอดกังวล(ตลอดระยะเวลาที่อยู่วัดมา) คือการให้ศีลที่ยังท่องไม่ได้ และการคลุมผ้าไตรตอนออกไปบิณฑบาตตอนเช้า ใครที่ว่าง่ายๆ ลองมาคลุมดูแล้วจะรู้ว่าไม่ง่าย....
วันที่ 4 และ 5 ขอรวบทีเดียวสองวันละกันเพราะวันที่ 4 ยุ่งมากจนลืมเขียน พระอาจารย์พาทำงานวัดจนเพลินเลยเถิดถึงค่ำๆ ไล่ไปจากกวาดเศษวัสดุ เศษใบไม้ในวัดจนสะอาดสะอ้านดูดีมาก ถือว่าผ่านไปเร็วมากสำหรับวันที่ 4 ส่วนวันที่ 5 นั้นตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าดีใจเล็กๆ นี่ผ่านไปหนึ่งในสามของสิบห้าแล้วเหรอนี่ผ่านไปแป๊บเดียวไวเหมือนกันแฮะ...แต่พึ่งจะคลุมผ้าได้เอง การให้ศีลให้พรโยมนั้นยังท่องไม่ได้เลย...มัวแต่ทำหน้าที่ของพระใหม่ ทำงานปัดๆ กวาด ๆ วัดอยู่นั่นเอง
แต่วันนี้ช่วงบ่ายๆ วันนี้ต้องเตรียมโต๊ะสำหรับวางดอกไม้ธูปเทียน และวางบาตรเนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันพระ ไม่ได้ออกไปบิณฑบาต จะมีญาติโยมมาใส่บาตรที่วัด หรือภาษาอีสานเรียกว่าวันสินนั่นเอง
วันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงบางอย่างว่า ถ้าอยู่คนเดียวนี่เวลานี่มันนานมาก และบอกไม่ถูกว่าอาการเดิมๆ เริ่มกลับมาคือคิดถึงบ้าน และเหงา ๆ เพราะช่วงบ่าย พระอาจารย์ท่านไปเยี่ยมพระอุปชา หลวงปู่อีกท่านก็ไม่อยู่ ส่วนอีกท่าน ท่านก็อยู่เงียบๆ เลยเป็นที่สรุปว่า อย่าพยายามจำวัดอยู่ในกุฏิ ควรเดินๆหาอะไรทำแก้เครียด (หลายคนคงคามว่าเป็นพระแล้วยังเครียดยังไม่ติดทางโลกอีกเหรอ??) ตอบได้เลยว่าเรามาเป็นสงฆ์ทำหน้าที่ลูกผู้ชายตอบแทนคุณบิดามารดา แต่เราก็ต้องคอดให้รอบคอบว่า เรามาภาระอะไรบ้างที่ยังค้างอยู่ หรือเมื่อลาสิกขาบทแล้วเราจะต้องทำต่อไป....พรุ่งนี้พระอาจารย์ท่านก็จะกลับวัดท่านแล้ว ก็คงเหลือพระที่นี่สามรูปรวมเราด้วยแต่คงเพิ่มความเบื่อเข้ามาไม่น้อย เพราะคงต้องอยู่คนเดียวไปอีกสัปดาห์เศษโดยประมาณ....
วันที่หก วันที่ท่านมหากลับไป…” ตอนเช้าๆ ถึงเพลดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงเวลาชิวๆ แบบวันเดิมๆ วันนี้เป็นวันพระไม่ได้ออกบิณฑบาต ตอนเช้าเพราะมีญาติโยมมาทำบุญที่วัดคึกคักน่าดู พระก็ต้องคลุมผ้าไตรจีวรแบบเต็มยศ เลยว่างั้น คือคลุมดองมิดชิด แถมคาดผ้าสังฆา (ผ้าพาดที่บ่าด้านซ้าย) เป็นวันแรกที่ได้ซองจากการเทศน์เพราะมีเหล่าบรรดาผู้ใจบุญมาทำบุญ เยอะแยะได้ซองมาครั้งแรกในชีวิตเป็นเงิน 80 บาท ในใจก็ไม่ได้คิดอยากจำได้อะไรหรอกเพียงแต่มีผู้นำมาถวายก็ต้องรับไว้ เพราะพระไม่สามารถปฏิเสธการบริจาค หรือการทำบุญจากโยมได้ แต่เมื่อหลังฉันท์เพลเสร็จ เหตุการณ์สำคัญก็เกิดขึ้นเมื่อโยมเลี้ยง มานิมนต์พระในวัดรวมถึงพระลูกวัดไปสวดถอดสิ่งไม่ดีที่เถียงนาของโยมเลี้ยงเอง ตั้งแต่เกิดมาก็พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งนี้ละเป็นการทำพิธีง่ายๆ โดยการใช้กระทงหมู(กระทงที่ทำด้วยเปลือกสดๆของต้นกล้วย ใส่ของกิน คำหมากและพลู) 4 อัน  ไปวางไว้ 4 มุมของเถียงนาและปักด้ายสายสิญจน์ ทั้งสี่ทิศ โดยท่านมหาฯ ได้ทำการสวดแผ่เมตตา เสร็จแล้วหลวงปู่ ท่านก็สวดอีกสองบท เป็นอันเสร็จพิธี เก็บด้าย เสาปักด้าย และกระทง ทำไปวางไว้บนทางสี่แพร่ง ซึ่งคำคนแก่โบราณท่านเชื่อว่า เป็นการนำมาหลบซ่อนจากสิ่งไม่ดี งานนี้ได้ซองปัจจัยมา 300 บาท (โอ....อะไรกันนี่) กลับมาถึงวัดงานโยธายังรออยู่ คือการเกลี่ยหินลูกรังลงขอบทางคอนกรีตที่พึ่งเทเสร็จไป พร้อมกับรถไถสองคัน เล่นเอาจนบ่ายสี่โมงเย็น พอมาถึงเวลาค่ำๆ อีกทีพึ่งรู้ตัวว่าท่านมหาฯ คู่สนทนาท่านได้กลับวัดของท่านที่ อ.เสนาฯ ไปแล้ว ความเงียบเข้ามาเยือนเพราะไม่มีคู่สนทนา....ต่อไปก็คงต้องตั้งใจสวดมนต์สามบทที่ท่านมหาได้ให้เป็นการบ้านให้ได้ ดังคำท่านมหาฯ ว่าไว้ มาอยู่วัดไม่หมั่นสวดมนต์ บุญก็ไม่บังเกิด
โดยบทแรกจะใช้สวดก่อนฉันท์เช้าคือบท
ยะถา วาริวะหา ปูรา              ปะริปูเรนติ สาคะรัง
เอวะเมวะ อิโต ทินนัง               เปตานัง อุปกัปปะติ
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง               ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา              จันโท ปัณณะระโส ยะถา
มะณิ โชติระโส ยะถา

สัพพี ติโย วิวัชชันตุ                  สัพพะโรโค วินัสสะตุ
มา เต ภะวัตวันตะราโย             สุขี ทีฆายุโก ภะวะ
สัพพี ติโย วิวัชชันตุ                  สัพพะโรโค วินัสสะตุ
มา เต ภะวัตวันตะราโย             สุขี ทีฆายุโก ภะวะ
สัพพี ติโย วิวัชชันตุ                  สัพพะโรโค วินัสสะตุ
มา เต ภะวัตวันตะราโย             สุขี ทีฆายุโก ภะวะ
อภิวทะนะสีลิสสะ                   นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ             อายุ วัณโณ สุขัง พลังฯ

ส่วนบทที่สองคือบทให้ศิล
อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ
สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา
สีเลนะ นิพพุตัง ยันติ สันมา สีลัง วิโสธะเย

ส่วนบทสุดท้ายคือบทสวดสำหรับฉันท์เพล
สัพพะโรคะวินิมุตโต               สัพพะสันตาปะวัชชิโต
สัพพะเวระมะติกกันโต              นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะฯ
สัพพิติโย วิวะชชันตุ                 สัพพะโรโค วินัสสะตุ
มาเต ภะวัตสันตะราโย              สุขึ ทีฆายุโก ภะวะ
อภิวทะนะสีลิสสะ                   นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ             อายุ วัณโณ สุขัง พลังฯ

ทั้งสามบทนี้พระอาจารย์มหาฯ ท่านว่าควรท่องให้ได้เพราะบวชตั้ง 15 วัน....
แต่ในอยากท่องบทนี้เร็วๆมากกว่า...
สิกขัง ปัจจักจามิ คิหีติ มัง มาเรถะ
ข้าพเจ้าลาสิกขา ท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็นคฤหัสถ์
และ
เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะวะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ อุปาสะกัตตัง สังโฆ ธาเรตุ

โดยทั้งสองบทนี้คือ คำสาสิกขาบทและ คำแสดงตนเป็นอุบาสก  แต่ก็ต้องรอไปก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลา ต้องมุ่งมั่นทำ ณ ปัจจุบันให้ดีที่สุด ความห่วงทั้งโยมพ่อ โยมแม่ ทั้งเพื่อฝูง ทั้งสีกาที่อยู่ทางนครหลวงเวียงจันทร์นั้นลืมไปก่อน....


วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ระวัง โรคติดต่อที่มากับฝน


เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในฤดูกาลนี้ เป็นสาเหตุทำให้โรคหลายชนิด สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว ควรดูแลและป้องกันโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน ซึ่งมี 5 กลุ่ม รวมทั้งหมด 15 โรค ได้แก่

1.กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ


2.กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนังที่พบบ่อย คือ โรคเลปโตสไปโรซิส หรือไข้ฉี่หนู อาการเด่นคือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง


3.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม


4.กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 3 โรค ได้แก่
4.1 ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน
4.2 ไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญ มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนาเป็นตัวนำโรค
4.3 โรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่า เป็นพาหะนำโรค


5.โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา

นอกจากนี้ ในช่วงหน้าฝนต้องระวังอีก 2 เรื่อง คือ ปัญหาน้ำกัดเท้าที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนานๆ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดง ถ้าเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองออก และอันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมลงป่องที่หนีน้ำมาอาศัยในบริเวณบ้าน ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องระวังคือการรับประทานยาลดไข้ เช่น ยาในกลุ่มแอสไพริน ห้ามกินอย่างเด็ดขาด เพราะมีอันตรายกับบางโรคที่สำคัญ 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้ฉี่หนู ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอยู่แล้ว หากได้รับยาแอสไพริน ซึ่งมีสารป้องกันเลือดแข็งตัวเข้าไปอีก จะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น ทำให้เสียชีวิตได้ง่ายขึ้น

การป้องกันโรคในฤดูฝน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สวมเสื้อผ้ารักษาร่างกายให้อบอุ่น เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะเด็กกับผู้สูงอายุควรดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพอากาศมีความชื้นสูง หนาวเย็น จะทำให้ร่างกายที่มีระดับภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าคนวัยอื่นๆ อยู่แล้ว ต่ำลงไปอีก จึงมีโอกาสติดเชื้อโรคทางเดินหายใจได้ง่าย ควรดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้ม รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม และล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง

Credit: teenee.com

ระวัง..โรคติดต่อที่มาพร้อมกับฝน


เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในฤดูกาลนี้ เป็นสาเหตุทำให้โรคหลายชนิด สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว ควรดูแลและป้องกันโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน ซึ่งมี 5 กลุ่ม รวมทั้งหมด 15 โรค ได้แก่

1.กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ


2.กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนังที่พบบ่อย คือ โรคเลปโตสไปโรซิส หรือไข้ฉี่หนู อาการเด่นคือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง


3.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม


4.กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ 3 โรค ได้แก่
4.1 ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน
4.2 ไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญ มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนาเป็นตัวนำโรค
4.3 โรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่า เป็นพาหะนำโรค


5.โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา

นอกจากนี้ ในช่วงหน้าฝนต้องระวังอีก 2 เรื่อง คือ ปัญหาน้ำกัดเท้าที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนานๆ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดง ถ้าเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองออก และอันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมลงป่องที่หนีน้ำมาอาศัยในบริเวณบ้าน ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องระวังคือการรับประทานยาลดไข้ เช่น ยาในกลุ่มแอสไพริน ห้ามกินอย่างเด็ดขาด เพราะมีอันตรายกับบางโรคที่สำคัญ 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้ฉี่หนู ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอยู่แล้ว หากได้รับยาแอสไพริน ซึ่งมีสารป้องกันเลือดแข็งตัวเข้าไปอีก จะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น ทำให้เสียชีวิตได้ง่ายขึ้น

การป้องกันโรคในฤดูฝน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สวมเสื้อผ้ารักษาร่างกายให้อบอุ่น เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะเด็กกับผู้สูงอายุควรดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพอากาศมีความชื้นสูง หนาวเย็น จะทำให้ร่างกายที่มีระดับภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าคนวัยอื่นๆ อยู่แล้ว ต่ำลงไปอีก จึงมีโอกาสติดเชื้อโรคทางเดินหายใจได้ง่าย ควรดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้ม รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม และล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง


Credit : Teenee.com

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ข้อคิด เพื่อชีวิตที่ดีของการทำงาน


1. มนุษย์สัมพันธ์:   ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เพื่อนๆที่ทำงานไม่ชอบ ไม่อยากคุยด้วย หรือ เข้ากับเพื่อนในที่ทำงานไม่ได้เลย คงต้องถึงเวลาพิจารณา และ ปรับปรุง ทักษะด้านสัมพันธ์กันเร่งด่วนแล้วละ อย่ามัวแต่หลอกตัวเองว่า เราดีแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกเพราะถ้าเราดีจริงแล้วเราจะไม่มีเพื่อนเอาเลยหรือ มนุษย์สัมพันธ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก คุณไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ ถ้ามนุษย์สัมพันธ์คุณแย่มากๆ ต่อให้คุณเก่งแค่ไหนก็ตาม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และ แน่นอนคุณเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องติดต่อกับคนอื่น
 และถ้าคนในองค์กรคุณยังไม่สามารถทำได้ดี ก็คงลำบากถ้าจะให้หัวหน้าคุณเห็นว่า คุณจะสามารถทำได้ดีกับคนภายนอกองค์กร เพราะฉะนั้น เรามาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆ ในองค์กรกันก่อนดีกว่า

  2. ทีม: คุณทำงานเป็นทีมได้หรือเปล่า เคยสังเกตตัวเองไหมว่า คุณทำงานเป็นทีมได้ดีแค่ไหน หรือว่า ต้องทำงานคนเดียวถึงจะดี?
 ในอนาคต การทำงานจะเน้นบุคคลที่ทำงานเป็นทีมได้ดีมากกว่าคนที่ชอบทำงานคนเดียว คุณทราบหรือไม่ว่า ในขณะนี้ทุกมหาวิทยาลัยในอเมริกา มีคอร์สฝึกสอนการทำงานเป็นทีมเพื่อรองรับความต้องการตลาดแรงงานในอนาคต ทำไมต้องเน้นเป็นทีมนะหรือคะ? ก็ต่อไปโลกเราก็จะแคบลงเพราะการพัฒนาในด้านต่างๆมีมากขึ้น การทำงานก็ต้องเป็นทีมมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นผู้มีทักษะในการทำงานเป็นทีม และ เป็นผู้ร่วมทีมที่ดีจะเป็นข้อจำเป็นในการทำงานทุกที่

3. Committed: หรือ ข้อตกลงในการทำงานระหว่างคุณกันคนอื่นๆไง นึกไว้เสมอเลยนะว่า อะไรที่คุณรับปากกับใครก็แล้วแต่ คุณต้องรับผิดชอบ และ ทำให้ได้ตามที่รับปาก ถ้าไม่ได้ หรือว่าล่าช้ากว่าที่เรารับปาก คุณต้องแจ้งล่วงหน้าให้แก่บุคคลที่คุณรับปากอย่างน้อยสองหรือสามวัน อันนี้เป็นมารยาททางการทำงานที่ดี เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะรับปากใครในเรื่องของการทำงาน คิดให้รอบคอบก่อนนะ

4. ฉันเป็นฉันเอง: ประเภทสาวมั่น หนุ่มมั่น ที่เราอาจจะเห็นจากทีวี หรือ ภาพยนตร์ ถ้าจะนำมาใช้คุณต้องดูเวลา และ สถานที่ให้ดีก่อนนะไม่งั้นแทนที่จะช่วยเสริมให้คุณดูดี มีภาพพจน์ กลับจะทำลายอนาคต ทางการทำงานของคุณไปเลย หลักการที่ดี ก็คือ ดูบุคคลที่เราติดต่อด้วย และ จะมั่นใจอะไร ก็ควรกระทำอย่างพอดี และเราจะเป็นที่ชื่นชมว่าเป็นคนมีมารยาท และประสบความสำเร็จในการติดต่อทางธุรกิจ

          ในความเป็นจริงการติดต่อธุรกิจ คุณไม่สมควรใช้เหตุผลของสาวมั่นหรือหนุ่มมั่นมาใช้มากกว่าการเป็นคนเรียบร้อยมีมารยาท เพราะฉะนั้นข้อนี้ต้องระวังให้ดีนะคะ ใช้ให้ถูกที่ และ ถูกเวลา

          5. ขออยู่เงียบๆคนเดียว: ข้อนี้สำคัญมาก อย่าพยายามทำตัวไม่แคร์ใคร ไม่รู้จักใคร เพราะสุดท้ายคุณจะเวียนไปหัวข้อแรก และ แน่นอน คุณจะเป็นคนแรกที่ทุกคนลืม อย่าเป็นคนที่เครียดง่าย สนุกยาก ใครๆเข้าหายาก คงจะดีกว่า ถ้าคุณจะทำตัวเป็นคนที่ยิ้มง่าย และ เป็นมิตรกับทุกคน เวลาเศร้า เก็บไว้กับคนสนิท และรู้ใจดีกว่านะ

          6. ธุระส่วนตัว: ธุระทุกประเภทที่เป็นส่วนตัวของคุณ คุณอย่าใช้เวลาทำงานมาทำเป็นอันขาดเชียวนะ จำไว้เลยนะคะ เบอร์โทรศัพท์เอาไว้ให้เฉพาะลูกค้าที่จะโทรติดต่อเรื่องงาน อย่าให้เบอร์ที่ทำงานกับเพื่อนหรือแฟน แล้วก็คุยกันนอกเรื่องกันเป็นวันๆ รับรองได้ว่า อนาคตทางการงานของคุณคงจะไม่รุ่งแน่นอน เพื่อให้ประสบความสำเร็จทางการทำงานบางท่านถึงกับตั้งกฎไว้กับตัวเองเลยก็มีว่า ในชั่วโมงการทำงาน เขาจะไม่ทำอะไรที่ไม่ใช่งาน เช่น ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่คุยโทรศัพท์ส่วนตัว ไม่ไปธนาคาร สำหรับธุระส่วนตัวก็จะใช้เวลาที่ไม่ใช่เวลางานเท่านั้น

          7. ความรัก: ไม่ได้เด็ดขาดสำหรับความคิดที่จะมีความรักในที่ทำงานเดียวกัน จริงๆคุณก็ทำได้ แต่รับรองได้ว่า มันจะทำลายอนาคตการทำงานของคุณ เพราะทุกคนจะมองเหมือนจับผิดว่าคุณใช้เวลาในการทำงาน มาสร้างตำนานรักมากกว่า อย่าเสี่ยงจะดีกว่านะ

          8. เป้าหมาย: เป้าหมาย และ เป้าหมาย เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับเจ้านายของคุณ ถ้าคุณทำงานแบบมีเป้าหมายว่า งานแต่ละอย่างที่อยู่ในความรับผิดชอบของคุณมีแผนการเสร็จเมื่อไหร่ คุณมีเป้าหมายในการทำงานอย่างไรให้ประสบความสำเร็จตามที่หัวหน้า หรือ บริษัทตั้งเป้า ถึงคุณจะทำไม่ได้จริง [แต่คุณต้องพยายามเต็มที่แล้วนะ] รับรองได้ว่า หัวหน้าคุณคงมองคุณแบบไม่ธรรมดา และจะเป็นโอกาสที่ดีของคุณในการทำตัวให้น่าเชื่อถือ แต่ระวังอย่าใช้เป้าหมายมาพูดและทำไม่เคยได้เลย เพราะจะกลายเป็นการคุยอวดมากกว่า

          9. บุคลิก: สุภาษิตที่ว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ยังคงใช้ได้ดีเสมอ บุคลิก และ การแต่งกาย เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่จะช่วยกำหนดความสำเร็จทางการทำงานของคุณ อย่าพยายามแต่งกายมากเกินไป หรือ น้อยเกินไป และที่สำคัญ อย่าแต่งกาย แบบที่ไม่ใช่คุณ คุณอาจจะเห็นดารา นางแบบ ใส่เสื้อตัวหนึ่งสวย แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะสวยเหมือนนางแบบถ้าคุณเอามาใส่  การแต่งกายที่ดี สำหรับการทำงาน ก็คือ สุภาพ และ โชว์บุคลิกเฉพาะของคุณออกมา

          ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่า แต่งกายแบบไหนเหมาะกับคุณ ขอแนะนำให้ถามคนที่คุณสนิท และจริงใจกับคุณ คุณก็จะได้แนวการแต่งกายที่เหมาะกับคุณ หรือถ้ามีตังค์ก็อยากแนะนำให้หาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ แต่ก็ต้องระวังนะคะ หลายสถาบันสอนบุคลิกภาพ ชอบสอนให้แต่งตัวแบบเหมือนๆกันหมด จนบังความมีเสน่ห์ของคุณไปเลยก็ได้ ดีไม่ดีกลายเป็นหุ่นยนต์รุ่นต่างๆที่เราเห็นก็ทราบทันทีว่าไปเข้าสถาบันสอนบุคลิกภาพที่ไหนมา ทางที่ดีต้องปรึกษาหลายคนๆก่อนตัดสินใจนะคะ

          10. หัวหน้า: หัวหน้าก็คือหัวหน้า อันนี้คุณต้องระวังอย่างมาก อย่าทำตัวสนิทกับหัวหน้า จนคุณเผลอ ทำตัวไม่เคารพ หรือ เผลอเล่นจนเกินงาม สำหรับหัวหน้า สิ่งที่ดีและ เป็นประโยชน์กับคุณมากที่สุด ก็คือ การให้เกียรติ และ แน่นอน ทุกครั้งที่คุณอยู่กับหัวหน้า หน้าที่หลักของคุณคือ การทำให้หัวหน้าของคุณ ดูดี อยู่เสมอในสายตาผู้อื่น จะด้วยคำพูด การกระทำ คุณก็ไม่มีสิทธ์ทำให้หัวหน้าของคุณกลายเป็นตัวตลก เสียหน้า หรือ ดูไม่ดีในสายตาคนอื่น โดยเด็ดขาด

          11. นินทา: อย่าได้เผลอตัวไปอยู่ในกลุ่มของการนินทาใดๆในที่ทำงานโดยเด็ดขาด เพราะสุดท้ายคุณจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด หรือดีไม่ดี กลายเป็นผู้เริ่มการนินทา โดยคุณไม่ได้ทำ ถ้าคุณต้องเจอภาวะการณ์คุยแบบไม่ได้ประโยชน์ หรือ การนินทาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทางออกที่ดีของคุณก็คือ อย่าพูดเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย โดยเด็ดขาด คุณทำได้แค่ นั่งฟัง โดยไม่ออกความคิด ให้บอกว่าไม่แน่ใจ หรือ ไม่รู้ หรือขอตัวออกจากวงสนทนา อ้างว่าไปห้องน้ำหรือมีธุระต้องทำ ที่นี้คุณก็ไม่เสียเพื่อน และ ก็ไม่เสียงานอีกต่างหาก

          12. สร้างสรรค์: หัวใจของความสำเร็จทางการทำงาน คือ ความคิดสร้างสรรค์ อย่าพยายามเป็นคน ใครว่าอะไร ฉันก็เห็นด้วยไปเสียทุกอย่าง คุณไม่จำเป็นต้องเถียง หรือ โต้แย้ง ถ้าคุณยังไม่มีข้อมูล หรือ ยังไม่กล้าพูด แต่ คุณต้องพยายามฝึกสมองของคุณให้คิดในแบบของคุณอยู่เสมอ ทุกการทำงานของคุณ คุณต้องพยายามคิดว่า คุณจะทำอะไรเพิ่มเติมให้งานที่ทำอยู่ปัจจุบัน ดีขึ้น สะดวกขึ้นกว่าเดิมได้ไหม หลักของการเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ง่ายๆ ก็คือ กล้าคิด คิดให้บ่อย คิดให้มาก และคุณก็จะเป็นคนคิดสร้างสรรค์

          ทั้งหมด 12 ข้อ เป็นสิ่งที่เราจะต้องระลึกอยู่เสมอในการทำงาน เพื่อส่งเสริมการทำงานของเราให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ที่นี้เราก็สามารถมั่นใจได้ว่า นอกจากเราจะเก่งงานที่รับผิดชอบ เรายังเก่งในการเป็นเพื่อน และ ผู้ทำงานที่ดีขององค์กรด้วย

เป็นบทความที่ดีมากอีกบทความหนึ่ง ก็ขอฝากไว้ให้กับคนทำงานทุกคน แต่สำหรับคนที่ยังไม่ทำงาน ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

สร้างมนุษยสัมพันธ์ สร้างความคิดที่ดี ชีวิตการทำงานก็จะเป็นสุข อย่าลืมนะครับ

credit : http://paaying.wordpress.com

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

7 วิธีสร้างสุขให้ชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน และเรื่องส่วนตัว แล้วความทุกข์ใจแอบย่องเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร เราจะจัดการกับมันอย่างไร เพื่อให้ความสุขอยู่กับเราตลอดไป นี่คือ 7 วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้ความสุขอยู่เคียงคู่กับคุณตลอดไป 
 1.มีความรัก เมตตา และมีน้ำใจให้สรรพสิ่งรอบตัว เริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น ช่วยเหลือสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ กดลิฟต์รอคนอื่นๆ ขับรถอย่างมีน้ำใจ หยุดรถให้คนข้ามถนน และอย่าลืมส่งยิ้มให้ผู้คนรอบข้าง แค่นี้ ความสุขของคุณก็เริ่มขึ้นแล้ว 

 2.มีความเชื่อมั่นและมีภูมิใจในตัวเองอยู่ตลอดเวลา ความคิดและคำพูดที่ว่า ฉันโง่ ฉันไม่เก่ง ฉันขี้เกียจ ฉันสวยน้อยกว่าคนอื่น เหล่านี้ลืมไปได้เลย คิดเสมอว่าเราเป็นคนหนึ่งที่มีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าใคร

 3.ทำในสิ่งที่อยากทำอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องงานหลัก งานอดิเรก การเล่นกีฬา หรือกิจกรรมอื่นใดก็ตาม ถ้าชอบแล้วละก็ ทุ่มเททำไปให้เต็มที่แล้ว ความสุขจะหนีไปไหนเสีย

 4.มอบความไว้วางใจให้ผู้อื่นบ้าง เปิดใจให้กว้าง รับฟังทุกเสียงอย่างพิจารณา อย่างน้อยก็เป็นการแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบต่างๆ ลงได้บ้าง

 5.มองวันนี้อย่างมีความสุข โยนอดีตที่ไม่ดีหรือความผิดพลาดที่ไม่น่าจดจำทิ้งไป เหลือไว้แค่เป็นบทเรียน 

 6.ยอมรับความจริงด้วยความเข้าใจ เพราะอยู่ดีๆ อาจถูกนินทาว่าร้าย หรือต้องกังวลกับสิ่งที่เข้ามากระทบกับชีวิต อย่าท้อแท้ หรือถอยหนีกับเรื่องราวแย่ๆพวกนี้ การถอยหรือหนีปัญหา อาจรู้สึกดีชั่วครั้งคราว แต่การเผชิญหน้ากับปัญหาทุกเรื่องอย่างเข้าใจและมีสติ เพียงเท่านี้ก็ยิ้มรับความสุขได้เท่าที่ต้องการ

 7.คิดพร้อมกับวางแผนการจับจ่ายใช้สอย และบริหารจัดการการเงินในกระเป๋าอย่างรอบคอบ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผนการใช้เงินใกล้บ้าน

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

ความรักกับการคาดหวัง

ความรัก กับการคาดหวัง
*รัก* ไม่มีคำว่าเศร้า ทุกข์ ขมขื่น หรือทำอะไรให้รู้สึกไม่ดี
*รัก* มีแต่สิ่งดีๆ ให้กันและกัน
สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากรัก แต่เกิดจากการคาดหวัง
ที่แต่ละคนคิดว่าหากรักกันแล้ว...ต้องทำให้ได้ทุกอย่าง
ในความป็นจริงแล้วใช่อย่างนั้นหรือ...
การคาดหวังเกิดขึ้นได้กับทุกคน
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อสิ่งที่คาดหวังของคนสองคนไม่ตรงกัน
คุณคงนึกภาพออก...
แล้วยิ่งถ้าคุณทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักแล้ว แต่ไม่ตรงกับคนที่รักคุณ
คาดไว้สิ่งนั้นก็หมดความหมาย...
คนทำก็หมดกำลังใจ ทำตั้งเยอะไม่ได้อะไร ตอบแทนเลย
จึงกลายเป็นการเรียกร้องเกิดขึ้น
เมื่อคุณเป็นฝ่ายให้แล้ว ทำไมอีกฝ่ายไม่เป็นฝ่ายให้บ้าง
โดยคุณอาจลืมไปว่า อีกฝ่ายก้ได้ให้คุณเหมือนกัน
เพียงแต่สิ่งนั้นไม่ได้ตรงกับที่คุณคาดไว้ และมันไม่มีความหมายกับคุณเลย
เมื่อคน 2 คนคิดไม่ตรงกัน... ที่ต้องการจะเป็นฝ่ายรับ
หรือเรียกร้องที่จะรับ โดยบอกให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายให้...
ความทุกข์ต่างๆ ก็จะตามมา
*รัก* ไม่ต้องคาดหวัง...
ทำให้เมื่ออยากทำ...ไม่ต้องรอสิ่งตอบแทน...
และรับในสิ่งที่อีกฝ่ายให้เมื่อเขาอยากให้.... ไม่ต้องเรียกร้อง
เป็นตัวของตัวเองในบางครั้ง...
โอนอ่อนในบางที...
สิ่งดีๆ ก็จะเกิด *รัก* ก็จะปรากฎ

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

ขอ...แค่ได้ฝัน

อยู่ตรงนี้ดีกว่า ขอแค่มองเธอไกลไกล
แค่เก็บเธอไว้ในใจ ไม่ต้องการจะผูกพัน
ไม่ได้เรียกร้องอะไร
ขอแค่มองแค่ได้ฝันไม่สำคัญ ว่าเธอนั้นมีใคร

แอบส่งยิ้มให้เธอ แม้ว่าเธอไม่เห็นมัน
ยังเก็บไปฝันกลางวัน แม้ว่ามันไร้จุดหมาย
เก็บความหวั่นไหวที่มี กับรักครั้งนี้เป็นไปไม่ได้
ไม่เป็นไร สุขหัวใจแค่ได้ฝัน

แค่ขอ เป็นคนห่วงใย ได้รักไกลไกล
คิดถึงใกล้ใกล้เท่านั้น
ไม่คิด จะไปยืนแทนเขาคนนั้น
ได้แค่ฝัน ฉันขอแค่นั้นก็พอใจ

แอบส่งยิ้มทุกวัน แม้ว่ามันเหมือนคนบ้า
ยังคิดถึงทุกเวลา แม้ว่าฟ้าไม่เข้าใจ
เก็บความหวั่นไหวที่มี กับรักครั้งนี้เป็นไปไม่ได้
ไม่เป็นไร สุขหัวใจแค่ได้ฝัน

แค่ขอ เป็นคนห่วงใย ได้รักไกลไกล
คิดถึงใกล้ใกล้เท่านั้น
ไม่คิด จะไปยืนแทนเขาคนนั้น
ได้แค่ฝัน ฉันขอแค่นั้นก็พอใจ

แค่ขอ เป็นคนห่วงใย ได้รักไกลไกล
คิดถึงใกล้ใกล้เท่านั้น
ไม่คิด จะไปยืนแทนเขาคนนั้น
ได้แค่ฝัน ฉันขอแค่นั้นก็พอใจ

สุขแค่ฝัน ฉันขอแค่นั้นก็พอใจ

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

มาฆบูชา..วันสำคัญของพระพุทธศาสนา

นมาฆบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งสำหรับชาวพุทธ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
หากปีใด เป็นอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหนจะเลื่อนไปตรงกับวันเพ็ญเดือน ๔
หลังจากการตรัสรู้ของสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙ เดือน ได้มีพระสาวกเดินทางมาเฝ้าพระพุทธองค์พร้อมกันเป็นครั้งแรกโดยมิได้นัดหมายเป็นจำนวนถึง ๑ ,๒๕๐ รูป ณ เวฬุวันมหาวิหาร ชานเมืองราชคฤห์ เมืองหลวงของแควันมคธ ประเทศอินเดีย

การประชุมครั้งใหญ่ของพระสาวกนี้เรียกว่า “มหาสันนิบาต”

มีลักษณะพิเศษ ๔ ประการเรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” กล่าวคือ

๑.เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หรือ มาฆมาส
๒.มีพระสงฆ์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ๑ ,๒๕๐ รูป
๓.พระสงฆ์เหล่านี้ ล้วนเป็นพระที่บวชโดยพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา ”
๔.พระสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖

พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศหลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนาเสมือนหนึ่งรัฐธรรมนูญที่ใช้เป็นกฎหมายแม่บทสำคัญสูงสุดของประเทศ

คือทรงแสดงพระโอวาทปาติโมกข์ ให้พระสาวกถือเป็นหลักปฏิบัติเพื่อนำไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีเนื้อหา ๓ ประการ

๑. อุดมการณ์
พระพุทธศาสนามีจุดหมายสูงสุด ได้แก่ พระนิพพาน คือการดับสูญจากกิเลศ และทุกข์ทั้งปวง อันจะทำสำเร็จได้ด้วยพึ่งตนพากเพียรด้วยการกระทำของตนเอง ไม่ใช้สำเร็จด้วยการอ้อนวอนร้องขอจากเทพองค์ใด

อุดมการณ์ ๔ ได้แก่

- ความอดทน อดกลั้น คือ ไม่ทำบาปทั้งกาย วาจา ใจ
- ความไม่เบียดเบียน คือ งดเว้นจากการทำร้าย หรือ เบียดเบียนผู้อื่น
- ความสงบ ได้แก่ การปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ
- นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา

๒. หลักการ
หลักคำสอนอันเป็นหัวใจในด้านปฏิบัติของพระพุทธศาสนาคือ

- ไม่ทำความชั่วทั้งปวง
- ทำกุศลธรรมความดีให้ถึงพร้อม
- ทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส

๓. วิธีการ
พุทธวิธีในการนำธรรมะสู่จิตใจชาวโลกด้วยเมตตา

- ไม่มีการกล่าวร้ายใคร
- ไม่มีการทำร้ายใคร
- รักษาวินัยเคร่งครัด
- รู้จักประมาณในการกินอาหาร
- อยู่ในที่อันสงบสงัด
- ฝึกฝนพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น ด้วยการบำเพ็ญสมาธิอยู่เสมอ

การปฏิบัติพุทธศาสนากิจในวันมาฆบูชา ที่นิยมโดยทั่วไป ก็คือ

-ทำบุญตักบาตร หรือนำภัตตาหารไปถวายพระสงฆ์แล้ว กรวดน้ำ แผ่ส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว
-บริจาค ให้ทาน แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม
-การปล่อยสัตว์ เช่น โค กระบือ นก ปลา เป็นต้น
-ฟังธรรมะ รักษาศิล ๕ ศิล ๘ เป็นต้น
-บำเพ็ญภาวนา ทำสมาธิ – วิปัสสนากัมมัฎฐาน
-นำดอกไม้ธูปเทียนไปเวียนเทียนที่พุทธสถานต่างๆ เช่น ที่วัดต่างๆ ที่ท้องสนามหลวง หรือที่พุทธ มณฑล เป็นต้น

จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธีเวียนเทียน รอบพระอุโบสถ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำ ถวาย ดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด เตรียมไว้ เป็นอันเสร็จพิธี

Cr: teenee.com

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความประทับใจเมื่อแรกพบสร้างได้

First Impression เป็นคำคุ้นหูเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์พบคนแปลกหน้า และยิ่งต้องสร้างสัมพันธไมตรี ภาพลักษณ์เมื่อแรกเห็นยิ่งสำคัญ เพราะธรรมชาติของคนเรามักตัดสินคนจากภายนอกในครั้งแรกที่เจอ ฉะนั้นการทำให้คู่สนทนาส่งความรู้สึกดีๆให้ ทำได้ไม่ยาก เพียง...


รักษาเวลา เพราะเวลาเป็นตัวสะท้อนความสนใจ ใส่ใจ และความรับผิดชอบของคุณ


เตรียมความพร้อมก่อนเจอกัน เริ่มจากแต่งกายให้เหมาะสมถูกกาลเทศะ คำนึงถึงความสะอาดสะอ้านของเสื้อผ้า การให้เกียรติกับกิจกรรมที่เข้าร่วม ให้เกียรติเจ้าของงาน และให้เกียรติสถานที่ อีกทั้งควรศึกษาวัฒนธรรมองค์กรที่จะไปนำเสนองาน เพราะการรู้เขารู้เราจะทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง


รอยยิ้มแห่งชัยชนะ ขอให้นึกไว้เสมอว่าคุณยิ้มโลกยิ้ม เพราะรอยยิ้มเป็นใบเบิกทางเชื่อมไมตรีที่ดีที่สุด รอยยิ้มที่อบอุ่นแฝงไปด้วยความเชื่อมั่นจะทำให้คุณเป็นคนที่น่าสนใจอย่างคาดไม่ถึง


เป็นตัวของตัวเอง อย่าเรื่องมาก จะช่วยให้คุณดูผ่อนคลายและมิตร แต่อย่าเป็นตัวของตัวเองจนเกินขอบเขต เพราะอาจทำให้คู่สนทนาอึดอัดและเข้าถึงยาก


การพูดคุยให้ประทับใจ หลังรู้จักและทักทายกันแล้ว หัวข้อสนทนาต่อไปควรเป็นคำถามปลายเปิดซึ่งคิดว่าคู่สนทนาสามารถตอบได้โดยไม่อึดอัดใจ และระหว่างรับฟังคุณควรแสดงความกระตือรือร้น ซักถามด้วยความจริงใจ เพราะจะทำให้คู่สนทนาภูมิใจที่ได้เล่า ส่งผลให้การสนทนาออกรส


สุภาพและใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อย การเป็นคนมีมารยาทดีและใช้ภาษาสุภาพจะทำให้คู่สนทนาประทับใจ ส่วนการใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยจะทำให้คู่สนทนารู้สึกได้ถึงความรอบคอบของคุณ เช่น การปิดโทรศัพท์มือถือขณะร่วมประชุม

Cr: teenee.com

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิธีลดอาการกรดไหลย้อน(เกิร์ดหรือ GERD)

(1). กินมื้อเล็กๆ (eat smaller meals)

อาหารมื้อเล็กๆ ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารไม่นาน อาหารมื้อใหญ่ค้างอยู่นานหลายชั่วโมง ทำให้โอกาสเกิดการไหลย้อน (reflux) เพิ่มขึ้น
ให้ลองกินมื้อเล็กๆ วันละหลายๆ มื้อดู เช่น วันละ 4-5 มื้อเล็กๆ แทน 2-3 มื้อใหญ่ๆ ฯลฯ
(2). ผ่อนคลาย (relax)

ความเครียดทำให้กระเพาะฯ หลั่งกรดออกมามากขึ้น เพราะฉะนั้นขอให้นั่งลง... กินช้าๆ เคี้ยวช้าๆ ไม่รีบร้อน
หลังจากนั้นให้หาอะไรที่คลายเครียดทำเพิ่มขึ้น เช่น ฝึกหายใจช้าๆ ลึกๆ (deep breathing) ฝึกสมาธิ ไทเกก-ไทชิ โยคะ ฯลฯ
(3). ตั้งตัวตรงเข้าไว้ (remain upright)

ให้ตั้งตัวตรง (นั่งหรือยืน) หลังอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมง นั่นคือ "เพลไม่เพล(เพล = ฉันหรือกินข้าวเที่ยง; ไม่เพล = มื้ออื่นๆ)ก็อย่าเพิ่งเอน"
การนอนหลังอาหาร ก้มตัวลงนานๆ หรือยกของหนักหลังอาหารจะทำให้กรดไหลย้อนได้ง่าย เรื่องนี้เปรียบคล้ายขวดใส่น้ำ... ถ้าจับขวดตั้งไว้ น้ำคงจะไม่หกง่ายๆ แต่ถ้าเอียงขวดลง น้ำจะหกออกจากขวดได้ง่ายขึ้น
(4). อย่ากินมื่อใหญ่ก่อนนอน (avoid eating)

อย่ากินอาหารมื้อใหญ่ก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
(5). ลดน้ำหนัก (lose weight) ถ้าจำเป็น

น้ำหนักที่เกินจะทำให้ไขมันใต้ผิวหนังรอบพุง และไขมันในช่องท้องเพิ่มขึ้น ทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น บีบกระเพาะฯ ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่าย
ถ้าช่องท้อง "เบา โล่ง โปร่ง สบาย" หน่อย... โอกาสกรดไหลย้อนจะลดลง
(6). ไม่สวมเสื้อผ้าคับ (loosen up = ทำให้หลวม)

ไม่ควรสวมเข็มขัด รัดประคต(สายคาดเอวพระ) หรือสายคาดเอวแน่น และไม่สวมเสื้อผ้าคับรัดรูป
การสวมเสื้อผ้าคับทำให้แรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น โอกาสเกิดกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้น


(7). หลีกเลี่ยงอาหารบางอย่าง (avoid foods that burn = หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ไหม้ หรือเกิดอาการแสบร้อนในอก)

อาหารบางอย่างทำให้กระเพาะฯ หลั่งกรดออกมามากขึ้น ทำให้อาหารค้างในกระเพาะฯ นานขึ้น หรือทำให้กล้ามเนื้อหูรูดด้านบนกระเพาะฯ คลายตัว (คล้ายๆ กับการเปิดปากถุงทะเล) ผลคือ ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
ควรลดปริมาณ (ไม่จำเป็นต้องงด ยกเว้นช่วงอาการรุนแรง) อาหารแสลงโรคที่พบบ่อยได้แก่ อาหารไขมันสูง เครื่องเทศบางอย่าง มะเขือเทศ ส้ม ส้มโอ มะนาว กระเทียม หัวหอม นม น้ำอัดลม กาแฟ ชา ชอคโกแลต และมิ้นท์
ควรงดแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ)
(8). เลิกบุหรี่ (stop smoking)

บุหรี่มีสารนิโคตินที่กระตุ้นให้กระเพาะฯ หลั่งกรดมากขึ้น ทำให้ลมในท้องมากขึ้น
(9). เคี้ยวหมากฝรั่ง (chew gum)

หมากฝรั่งเพิ่มการหลั่งน้ำลาย ซึ่งเมื่อกลืนลงไปจะช่วยลดความเข้มข้นของกรดและน้ำย่อยในหลอดอาหาร ทำให้อาการทุเลาลง (ควรลองดู เพราะบางคนก็มีอาการท้องอืดจากน้ำตาลเทียมในหมากฝรั่งได้ - ผู้เขียน)
(10). ปรึกษายากับหมอ (medications)

ยาบางอย่างอาจทำให้อาการแย่ลง เช่น แอสไพริน ยากดการอักเสบหรือ "ยากระดูก" (NSAIDs) ฯลฯ
วิธีง่ายๆ คือ นำยาที่ใช้ทุกชนิดไปให้หมอหรือเภสัชกรที่ดูแลท่านตรวจสอบว่า กินต่อดีหรือไม่
(11). หนุนหัวเตียง (raise your bed's head)

การหนุนขาเตียงด้านหัวเตียงให้สูงกว่าขาเตียงด้านเท้ามักจะทำให้กรดไหลย้อนช่วงนอนลดลง
ไม่ควรหนุนหมอนสูง หรือหนุนหมอนหลายใบแทนการหนุนขาเตียง เนื่องจากอาจทำให้ปวดคอได้
(12). ออกกำลังให้เป็น (exercise wisely = ออกกำลังอย่างฉลาด)ไม่ออกกำลังหลังอาหารทันที ควรรอประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อให้อาหารส่วนใหญ่ไหลลงลำไส้เล็กไปก่อนออกกำลัง

Credit: http://health2u.exteen.com/20090305/gerd

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

"29 กุมภาพันธ์" ทำไมต้องถึง 4ปี มีครั้งเดียว

29 กุมภาพันธ์ จะมีก็ต่อเมื่อเป็นปีที่หารได้ด้วย 4 ลงตัว กว่าจะมี 29 วัน ก็จะเป็นปี 2012 ซึ่งในประเทศไทยเรียกว่า "ปีอธิกสุรทิน"

"ปีอธิกสุรทิน" คือ ปีที่มีวันหรือเดือนเพิ่มเข้ามา เพื่อทำให้ปีปฏิทินสอดคล้องกับปีดาราศาสตร์หรือปีฤดูกาล


ทั้งนี้เป็นผลจากการที่ฤดูกาลและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ไม่ได้วนกลับมาเป็นจำนวนวันที่ลงตัว ใน"ปฏิทินเกรโกเรียน" ซึ่งเป็นต้นแบบของปฏิทินสุริยคติไทยในปัจจุบัน จะเพิ่มวันในเดือนกุมภาพันธ์ให้มี 29 วัน


ในปีที่เป็นปีอธิกสุรทิน จึงทำให้ปีอธิกสุรทินมี 366 วัน ใน"ปฏิทินฮิจญ์เราะหฺ" จะกำหนดให้เดือนซุลฮิจญะหฺซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายมี 30 วัน จึงทำให้ปีอธิกสุรทินของปฏิทินฮิจเราะหฺมี 355 วันการตรวจสอบว่าปีใดในระบบคริสต์ศักราชเป็นปีอธิกสุรทินหรือไม่ ทำได้โดยการหารปีนั้นด้วย 4 หากหารลงตัวจะเป็นปีอธิกสุรทิน


อย่างไรก็ตาม ด้วยกฎเหล่านี้จึงทำให้ ค.ศ. 1800, 1900, 2100, 2200 เป็นปีปกติสุรทิน แต่ ค.ศ. 1600, 2000, 2400 เป็นปีอธิกสุรทิน


ทั้งนี้เมื่อเอ่ยถึงคำว่า "อธิกวาร" "อธิกมาส" และ "อธิกสุรทิน" เป็น ไปได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบันอาจไม่รู้ความหมายของคำเหล่านี้ เพราะเป็นคำที่มีความหมายเข้าใจยาก และเป็นคำที่ไม่ได้ใช้บ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน คำทั้งสามคำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับปฏิทิน หรือการนับวันเดือนปี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในวัฒนธรรม ผู้เขียนจึงต้องการอธิบายความหมายของคำเหล่านี้พอเป็นสังเขปเพื่อให้คนที่ ยังไม่รู้จักคำเหล่านี้เข้าใจความหมายเมื่อได้ยินหรืออ่านพบคำดังกล่าวใน สื่อต่างๆ


คำว่า "อธิกวาร" "อธิกมาส" และ "อธิกสุรทิน" ประกอบด้วย คำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตทั้งหมด หน่วยหน้าศัพท์ อธิก- (อ่านว่า อะ-ทิ-กะ) ในที่นี้หมายถึง "เกิน, เพิ่ม" ส่วนคำว่า วาร แปลว่า "วัน" มาส แปลว่า "เดือน" คำว่า สุรทิน มาจาก สุร + ทิน ทิน แปลว่า "วัน" สุร ในที่นี้น่าจะแปลว่า "พระอาทิตย์"


ในจำนวนคำทั้งสามดังกล่าว คำว่า อธิกสุรทิน น่าจะเป็นคำที่คุ้นเคยมากที่สุดสำหรับคนไทยปัจจุบัน เพราะเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับปฏิทินแบบสุริยคติ ซึ่งใช้ในสังคมไทยปัจจุบัน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของ อธิกสุรทิน ไว้ว่า "วันที่เพิ่มขึ้นในปีสุริยคติ คือในปีนั้นเพิ่มวันเข้าในเดือนกุมภาพันธ์อีกวันหนึ่งเป็น 29 วัน" ตามธรรมดาเดือนกุมภาพันธ์มี 28 วัน ปฏิทินบางฉบับเรียกปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 28 วันว่า "ปีปกติสุรทิน" และเรียกปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน ว่า "ปีอธิกสุรทิน"


ปีอธิกสุรทินจะมี 4 ปีครั้ง ปีพ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) เป็นปีอธิกสุรทิน ปีอธิกสุรทินต่อไปคือปีพ.ศ. 2547 ข้อสังเกตง่ายๆว่าปีใดเป็นปีอธิกสุรทินคือให้เอาปีค.ศ. ตั้งหารด้วยเลข 4 ถ้าหารลงตัวจะเป็นปีอธิกสุรทิน ถ้าหารไม่ลงตัวก็เป็นปีปรกติ เช่นปีค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539) ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) หารด้วยเลข 4 ลงตัว และทั้งหมดเป็นปีอธิกสุรทิน


เหตุที่จะต้องมีปีอธิกสุรทินทุก 4 ปี เพราะตามระบบของปฏิทินทางสุริยคติ จะต้องเพิ่มวันเข้าไป 1 วันเพื่อให้ปีนั้นมี 366 วัน วันที่เพิ่มเข้าไปนี้เรียกว่า "อธิกสุรทิน" การที่ต้องเพิ่มวันเนื่องจากในปีหนึ่งๆนั้นตามความเป็นจริงมีจำนวนวัน 365.25 วัน ไม่ใช่ 365 วันถ้วนอย่างที่เราเข้าใจกันทั่วไป

"ดังนั้นเพื่อรวมเศษที่ตกค้างในแต่ละปีให้เป็น 1 วันได้ก็จะทำได้ทุก 4 ปี ทำให้สะดวกในการนับจำนวนวันในแต่ละปี คือนับจำนวนถ้วนๆ โดยให้ปีที่ 1, 2, และ3 มี 365 วัน และปีที่ 4 มี 366 วัน เป็นดังนี้เรื่อยไป"


"อธิกมาส" และ"อธิกวาร" เป็นคำที่คนไทยสมัยใหม่อาจไม่คุ้นเคยเพราะเกี่ยวข้องกับปฏิทินแบบจันทรคติ ซึ่งปัจจุบันเลิกใช้อย่างเป็นทางการแล้วในสังคมไทย อย่างไรก็ตามหากเราเข้าใจที่มาหรือเหตุผลของการเพิ่มวันเป็นอธิกสุรทิน ก็คงไม่ยากนักที่จะเข้าใจเหตุผลของการเพิ่มเดือนหรือเพิ่มวันเข้าไปในปฏิทิน ทางจันทรคติเช่นกัน


"อธิกมาส" หมายถึง เดือนที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ คือในปีนั้นมี 13 เดือน มีเดือน 8 สองหน สาเหตุที่ต้องเพิ่มเดือน 8 เข้าไปอีก 1 เดือน เช่นในปีนี้ (พ.ศ. 2545) ก็เพื่อให้ปฏิทินทางจันทรคติเทียบได้กับปฏิทินทางสุริยคติได้ โดยจำนวนวันไม่ต่างกันมากเกินไป ดังรายละเอียดที่ผเคยอธิบายไว้แล้วในเรื่อง "ปฏิทินไทยดั้งเดิม" ปฏิทินบางฉบับเรียกปีที่มีอธิกมาสหรือปีที่มีเดือน 8 สองหนว่า "ปีอธิกมาส" และเรียกปีที่มีเดือน 8 หนเดียวว่า "ปีปกติมาส"


"อธิกวาร" หมายถึงวันที่เพิ่มขึ้นในปีจันทรคติ คือในปีนั้นเดือน 7 เป็นเดือนเต็มมี 30 วัน ตามปรกติเดือนที่เป็นเลขคี่ ในปฏิทินทางจันทรคติจะเป็นเดือนขาด มี 29 วัน และเดือนเลขคู่เป็นเดือนเต็มมี 30 วัน แต่ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันกับการเพิ่มเดือนเป็นอธิกมาส ในรอบประมาณ 5 ปี ปฏิทินทางจันทรคติซึ่งแม้จะมีอธิกมาสแล้ว แต่ก็จะมีจำนวนวัน ต่างจากปฏิทินทางสุริยคติอยู่อีกหนึ่งวัน จึงต้องเพิ่มเสีย เพื่อให้เท่ากัน


โดยเพิ่มวันเข้าไป ในเดือน 7 ทำให้เดือน 7 ในปีนั้นมี 30 วัน วันสุดท้ายของเดือน 7 ดังกล่าวจะเป็นวันแรม 15 ค่ำแทนที่จะเป็นวันแรม 14 ค่ำเหมือนเดือนขาดทั่วไป วันที่เพิ่มเข้าไปนี้เรียกว่า "อธิกวาร" ปีที่มีอธิกวารเรียกว่า "ปีอธิกวาร" ที่ไม่มีเรียกว่า "ปีปกติวาร" คำทั้งสามคำที่ได้อธิบายไปนั้นแสดงให้เห็นว่าคนไทยมีระบบในการนับและการ คำนวณวันเดือนปี ที่น่าสนใจ จึงทำให้คนไทยสามารถเข้าใจความคล้ายคลึงและความมีส่วนร่วมกันของมโนทัศน์ ทั้งสามประการได้เป็นอย่างดี


ส่วนทางฝั่งตะวันตกจะเรียกปีที่มีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ว่า "Leap year" และคนโชคดีที่เกิดวันนี้จะถูกเรียกว่า "Leaper" ซึ่งด้วยความแปลกอันนี้ในบางประเทศ เช่น ไอร์แลนด์ รัฐบาลจะให้เงินรางวัลเป็นการเฉลิมฉลองกับครอบครัวที่มีเด็กเกิดในวันนี้เลย ทีเดียว


แม้ว่าความพิเศษของ 29 กุมภาพันธ์จะไม่ได้เป็นวันหยุดทำงานสากล แต่กิจกรรมพิเศษของวันนี้ตามธรรมเนียมของทางตะวันตก ซึ่งริเริ่มในประเทศสกอตแลนด์คือ ผู้หญิงจะได้รับการยินยอมให้เป็นฝ่ายขอผู้ชายไปเดท ขอความรัก หรือแม้กระทั่งขอแต่งงานกับฝ่ายชายได้โดยไม่ขัดกับจารีตธรรมเนียมประเพณีแต่ อย่างใด และ "ถ้าฝ่ายชายปฏิเสธก็ต้องหาผ้าพันคอ หรือถุงมือให้เป็นการปลอบใจ"

Cr.teenee.com

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทำไมต้องอ้วนเพราะเบียร์

เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม่คนไทยถึงเปรียบเทียบคนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยว่าอ้วนเหมือนตุ่มเหมือนโอ่ง แล้วทำไมฝรั่งมังค่าเขาถึงบอกว่าคนที่มีพุงพลุ้ยเนี่ยอ้วนเพราะเบียร์ แล้ววันนี้นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเขาเกิดพบว่า การบอกว่าคนเรานั้นอ้วนเพราะเบียร์เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

นักวิจัยจากอังกฤษและสาธารณรัฐเช็กเกิดนึกสงสัยในคำเรียกขานดังกล่าวจึงได้ทำการสำรวจชาวเช็กเกือบ 2,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าชาวเช็กนั้นเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง เพราะปริมาณการดื่มเบียร์ของชาวเช็กต่อคนนั้นมากกว่าคนชาติอื่น แล้วคณะวิจัยก็ได้พบว่า การมีพุงกับการดื่มเบียร์ปริมาณมากๆ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นการบอกว่าคนเราจะอ้วนเพราะดื่มเบียร์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ ดร.มาร์ติน โบบัค จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (University College London) และคณะวิจัยจากอินสติติวต์ ออฟ คลินิกคอล แอนด์ เอ็กซ์เพอริเมนทอล เมดิซีน (Institute of Clinical and Experimental Medicine) ในกรุงปราก ได้ให้หญิง 1,098 คน และชาย 891 คน ที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี ทำแบบสอบถาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ทั้งสิ้น

จากการสำรวจพบว่า ชายชาวเช็กจะดื่มเบียร์โดยเฉลี่ยราว 3.1 ลิตรต่อสัปดาห์ ขณะที่ผู้หญิงจะดื่ม 0.3 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยในจำนวนนี้มีชายอยู่ 3 คนที่ดื่มเบียร์อย่างหนัก คือดื่มราว 14 ลิตรต่อสัปดาห์ และมีหญิงเพียง 5 คนที่ดื่มถึง 7 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยก่อนและหลังการดื่มเบียร์ คณะวิจัยจะให้แพทย์วัดขนาดของเอว และสะโพก ชั่งน้ำหนัก และบันทึกดัชนีมวลรวมของอาสาสมัครไว้ตรวจสอบด้วย

และคณะวิจัยก็พบว่า การมีพุงไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเบียร์เลยสักนิด โดยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ของเขาชี้ให้เห็นว่า การกล่าวอ้างว่าคนอ้วนหรือมีพุงเพราะการดื่มเบียร์มากเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ด้านนักวิจัยจากอิตาลีชี้ว่า ผู้ชายทุกคนมีแนวโน้มที่จะอ้วนลงพุงได้ ตามความผันแปรของยีนของแต่ละคน ขณะที่ไนเจล เดนบี จากสมาคมโภชนาการแห่งอังกฤษกล่าวว่า ผู้ที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ไม่ควรวิ่งแจ้นเข้าผับเข้าบาร์หรือไปหาลานเบียร์เพื่อซดเบียร์ให้หายอยาก เพราะไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดก็ตามที่ผสมแอลกอฮอล์ก็สามารถอ้วนได้หากรับประทานมากเกินไป และหากต้องการดื่มจริงๆ ก็ควรดื่มแต่พอดี

Credit : บีบีซี นิวส์

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Leptospirosis

โรคเลปโตสไปโรซีส(โรคไข้ฉี่หนู)เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งป้องกันแก้ไข เพื่อควบคุมมิให้เกิดการระบาดลุกลามต่อไป
โรคเลปโตสไปโรซีส(โรคไข้ฉี่หนู) พบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว หน้าทำนา หรือหลังน้ำท่วม เพราะเป็นช่วงที่สภาพแวดล้อมเหมาะสมเหมาะสมให้เอโรคมีชีวิตอยู่ได้นาน เนื่องจากมีน้ำมาก พื้นดินแฉะและช่วงที่น้ำเริ่มลด เชื่อจะอยู่หนาแน่นมากขึ้นกว่าช่วงที่น้ำหลาก โดยทั่วไปจะพบผู้ป่วยปีละ 3, 000-5,000 ราย ในปี พ.ศ. 2552 พบว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากกว่า 5,000 คน และมีผู้เสียชีวิต 42 คน เนื่องจากมีเลือดออกในปอด ไตวาย ซึ่งทำให้มีอาการไอเป็นเลือด ปัสสาวะไม่ออกและช็อก ผู้ป่วยเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งในเมืองและชนบท แต่พบมากที่สุดคือในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (สำนักโรคติดต่อทั่วไป, กระทรวงสาธารณสุข,2554) กลุ่มที่ติดเชื้อสูงสุดคือเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพ ทำนา เลี้ยงสัตว์และกรรมกรรับจ้าง กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด อายุ 15-66 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติสัมผัสกับน้ำหรือโคลน ในขณะที่มีบาดแผลที่เท้า ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลภาครัฐผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงในโรงพยาบาลชุมชน เป็นเงิน 1,800 บาท ถ้ามีภาวะแทรกซ้อนต้องล้างไต ค่ารักษาจะเพิ่มขึ้นอีก 1,000 บาท รวมกับค่าจ่ายอื่นๆ ไม่รวมกับค่ารักษาพยาบาลในส่วนของรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่าง 2,790-24,700 บาท ดังนั้นค่าใช้จ่ายรวมเป็น 4,590-26,500 บาท ปี พ.ศ.2543 มีผู้ป่วยทั้งสิ้น 13,461 ราย ค่าใช้จ่ายรวมในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคฉี่หนู รวมเป็นเงิน 61,785.990-356,716.500 บาท (เสาวภา พรศิริพงษ์, และคนอื่นๆ,2544 ,บทคัดย่อ)
โรคเล็ปโตสไปโรซิส มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียรูปเกลียว (spirochete) ชื่อ เล็บโตสไปร่า อินเทอโรแกนส์ (Leptospira interrogans) เชื้อชนิดนี้อาศัยอยู่ในท่อหลอดไตของสัตว์ได้หลายชนิด โดยมีหนูเป็นแหล่งรังโรคที่สำคัญที่สุด โดยที่สัตว์อาจจะไม่มีอาการแต่สามารถปล่อยเชื้อได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือ อาจจะตลอดชีวิตสัตว์ หลังจากถูกขับออกทางปัสสาวะจากสัตว์ที่มีเชื้อ ถ้าออกมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เชื้อสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายเดือน เช่น ดิน, โคลน, แหล่งน้ำ, น้ำตก, แม่น้ำลำคลอง เป็นต้น โดยมีรายละเอียดของการติดเชื้อดังนี้
สัตว์นำโรค : ไม่พบมีการติดต่อจากคนสู่คนโดยตรง โรคนี้เป็นโรคที่ติดต่อจากสัตว์มาสู่คน โดยสัตว์ที่สามารถเป็นแหล่งรังโรค (มีการติดเชื้ออยู่ในท่อไต) และปล่อยเชื้อออกมาได้ มีหนูเป็นแหล่งรังโรคสำคัญ แต่ยังมีสัตว์อื่นอีก ได้แก่ สุกร, โค กระบือ, สุนัข, แรคคูน เป็นต้น
วิธีการติดต่อของโรค : ส่วนใหญ่คนได้รับเชื้อนี้โดย
1. การสัมผัสกับปัสสาวะ, เลือด หรือเนื้อเยื่อของสัตว์ที่มีการติดเชื้อโดยตรง
2. การสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ เช่น
o การกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป
o การหายใจเอาไอละอองของปัสสาวะ หรือของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป
o เข้าผ่านเยื่อบุต่างๆ ซึ่งบางและอ่อนนุ่ม เช่น ตา และปาก
o ไชเข้าทางผิวหนังตามรอยแผลและรอยขีดข่วน
o ไชเข้าทางผิวหนังปกติที่เปียกชุ่มจากการแช่น้ำนานๆ ทำให้ผิวหนังเปื่อยยุ่ย
ระยะฟักตัวของโรค : ใช้เวลาประมาณ 2-30 วัน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงหลังได้รับเชื้อประมาณ
4-19 วัน(พรรณทิพย์ ฉายากุล, ตำราโรคติดเชื้อ 2, 2548.)


โรคเลปโตสไปโรซีส(โรคไข้ฉี่หนู) พบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว หน้าทำนา หรือหลังน้ำท่วม เพราะเป็นช่วงที่สภาพแวดล้อมเหมาะสมเหมาะสมให้เอโรคมีชีวิตอยู่ได้นาน เนื่องจากมีน้ำมาก พื้นดินแฉะและช่วงที่น้ำเริ่มลด เชื่อจะอยู่หนาแน่นมากขึ้นกว่าช่วงที่น้ำหลาก โดยทั่วไปจะพบผู้ป่วยปีละ 3, 000-5,000 ราย ในปี พ.ศ. 2552 พบว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากกว่า 5,000 คน และมีผู้เสียชีวิต 42 คน เนื่องจากมีเลือดออกในปอด ไตวาย ซึ่งทำให้มีอาการไอเป็นเลือด ปัสสาวะไม่ออกและช็อก ผู้ป่วยเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งในเมืองและชนบท แต่พบมากที่สุดคือในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (สำนักโรคติดต่อทั่วไป, กระทรวงสาธารณสุข,2554) กลุ่มที่ติดเชื้อสูงสุดคือเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพ ทำนา เลี้ยงสัตว์และกรรมกรรับจ้าง กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด อายุ 15-66 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติสัมผัสกับน้ำหรือโคลน ในขณะที่มีบาดแผลที่เท้า ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลภาครัฐผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงในโรงพยาบาลชุมชน เป็นเงิน 1,800 บาท ถ้ามีภาวะแทรกซ้อนต้องล้างไต ค่ารักษาจะเพิ่มขึ้นอีก 1,000 บาท รวมกับค่าจ่ายอื่นๆ ไม่รวมกับค่ารักษาพยาบาลในส่วนของรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่าง 2,790-24,700 บาท ดังนั้นค่าใช้จ่ายรวมเป็น 4,590-26,500 บาท ปี พ.ศ.2543 มีผู้ป่วยทั้งสิ้น 13,461 ราย ค่าใช้จ่ายรวมในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคฉี่หนู รวมเป็นเงิน 61,785.990-356,716.500 บาท

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปลูก....อะไร ก็ได้อย่างนั้น...

คติธรรม ที่ได้ …


เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ

เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ

เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่

เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ

เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดลออ

เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ

เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี


ดังนั้น … ตรองดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้.

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เคยสงสัยกันบ้างมั้ยทำไม 1 วันถึงมี 24 ชั่วโมง

ปฏิทินเกิดขึ้นมาจากการที่นักวิทยาศาสตร์สังเกต และบันทึกการเปลี่ยนแปลง การขึ้น-ลงของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการผ่านพ้นไปในแต่ละวัน และกลายเป็นเดือน เป็นปี ปฏิทินในยุคแรก ใน 1 เดือน จะมี 29-30 วัน และในช่วง 1 เดือนนั้น ดวงจันทร์มีการเปลี่ยนแปลงจากข้างขึ้นไปเป็นข้างแรม 1 รอบ เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดครบ 12 รอบ จึงเกิดเป็น 12 เดือนใน 1 ปี แต่ในช่วง 1 ปีของปฏิทินที่เทียบจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์จะสั้นกว่าที่เป็นจริง ชาวอียิปต์จึงสร้างปฏิทินขึ้นใหม่โดยอาศัยการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์แทน ซึ่งจะได้ปฏิทินใหม่ที่มี 30-31 วัน ใน 1 เดือน และมี 365 วัน หรือ 12 เดือนใน 1 ปี

เมื่อมนุษย์เริ่มมีวิวัฒนาการมากขึ้น มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ต่างๆ มนุษย์จึงเริ่มมีการทำกิจกรรมมากขึ้นในแต่ละวัน สิ่งที่ตามมาก็คือความต้องการในการกำหนดเวลา เพื่อให้มีบทบาทในการกำหนดขอบเขตในการทำกิจกรรมของมนุษย์ในเรื่องต่างๆ เช่น การศึกษา การทำงาน การเล่นกีฬา เป็นต้น มนุษย์ใช้การสังเกตเงาจากดวงอาทิตย์ที่ทาบลงวัตถุบนพื้นโลกใน 1 วัน จึงเกิดการนับช่วงเวลาเป็น ชั่วโมง นาที และวินาทีขึ้น

แล้วทำไมถึงต้องมีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ เป็นวันพิเศษอีก 1 วัน ซึ่งจะเวียนมาในทุกๆ 4 ปี ทำให้ในปีนั้นมี 366 วันเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าจริงๆ แล้วโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบใช้เวลา 365 วันกับอีก 5 ชั่วโมง 48 นาที และ 45 วินาที เมื่อนำเวลาที่เกินมาในแต่ละปีนั้นมารวมเข้าด้วยกันในทุกรอบ 4 ปี ก็จะได้วันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน จึงเกิดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ขึ้น การกำหนดให้ในช่วงรอบ 4 ปี โดยที่ 3 ปีมี 365 วัน และอีก 1 ปีมี 366 วัน ทำให้ปฏิทินที่ได้มีความถูกต้องแม่นยำขึ้น

1 วัน มีกี่ชั่วโมงนั้นก็เพราะกำหนดจากระยะเวลาการหมุนของโลกรอบตัวเอง ส่วนหนึ่งปีมีกี่วันนั้นก็คิดมาจากระยะเวลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ใครเป็นผู้กำหนดวันเวลานั้นไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ เพราะเวลานั้นเกิดจากการพัฒนาและเรียนรู้ของมนุษย์มานานหลายพันปี


มนุษย์สมัยโบราณเรียนรู้และกำหนดเวลาจากวงรอบทางดาราศาสตร์ โดย "วัน" มาจากการหมุนของโลกรอบแกนใน 24 ชั่วโมง (ปัจจุบันโลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 23.56. 1 ชั่วโมง) "เดือน" มาจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์รอบโลก ซึ่งเมื่อนับวันเทียบกับการโคจรของดวงอาทิตย์ก็พบว่าจันทร์เต็มดวงจะเวียนมาครบรอบใหม่ทุกๆ 29 .5 วัน ส่วนปีก็คือเวลาที่โลกใช้โคจรรอบดวงอาทิตย์ (365.242199 วัน)


credit: icphysics.com

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

มุมมองที่แตกต่าง

จุดเริ่มต้นของความคิดที่ดี
เกิดจากการมีมุมมองที่แตกต่าง
แต่ไม่แตกแยก

การยอมรับ
และปรับเปลี่ยนมุมมองเข้าหากัน
คือ วิธีการหนึ่งที่ก่อให้เกิดความสามัคคี

มุมมองที่แตกต่าง
อาจทำให้เราเห็นมุมอื่น ๆ ได้หลายมุม
มุมมองทางความคิด
อาจทำให้เราเห็นมุมมองที่หลากหลาย

มุมมองที่มองต่างมุม
หากเรานำส่วนที่แตกต่าง
มาสมานฉันท์ทางความคิด
ย่อมก่อให้ความคิดมีพลังที่ยิ่งใหญ่
ที่จะเป็นกลไกไขไปสู่ความสำเร็จ
และความสงบสุขในสังคมต่อไป

หากเปรียบมุมมองทางความคิด
เหมือนกับสับปะรด
ก็จะทำให้เราเห็นว่า
รอบ ๆ ตัวของเรานั้น
ยังมีมุมมองที่แตกต่างมากมาย

ในความเหมือน..
อาจมีความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ซ่อนอยู่

ในความแตกต่าง
อาจมีความเหมือนกันได้มาก
ถ้าเราสังเกตดูให้ดี

ในชีวิตจริง
ก็มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
สิ่งใดที่เราเคยชิน
เรามักจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง

แต่พอเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ
ก็จะทำให้เราเห็นความแตกต่าง

เพราะฉะนั้น
ความคิด..อารมณ์..ความรู้สึก
ย่อมเกิดความแตกต่างอย่างแน่นอน

แต่ถ้าเรารวมเอาอารมณ์..ความรู้สึก
บวกกับความคิดที่ดี
ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล

หนึ่งอารมณ์
บวกความรู้สึก
คูณด้วยพลังความคิด
ผลลัพธ์ที่ได้ นั้นก็คือ..
หนึ่งพลังใจแห่งความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่..