วันที่เจ็ด...”ไม่สบาย” วันที่เจ็ดแล้วครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว
วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เหมือนวันอื่นๆ วัดเงียบมาก เพราะไม่มีงานโยธา
แต่วิ่งที่พิเศษดันเข้ามาคือการเป็นไข้ไม่สบาย เนื่องมาจากอากาศเปลี่ยนแปลง
วันนี้เลยทำได้แต่ฉันท์เช้า เพล ทานยาและจำวัด จำวัดและก็จำวัด...โอ้
วันนี้มันช่วงแสนยาวนานเหลือเกิน ดีหน่อยที่พรุ่งนี้กับมะรืนนี้ต้องไปเรียนหนังสือ
ก็น่าจำทำให้สองวันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไปพบปะญาติๆเพื่อนๆ
ที่เรียนด้วยกันคงจะดีไม่น้อยแฮะ....
วันที่แปด
“ไปเรียนหนังสือ” วันนี้มีอะไรพิเศษกว่าวันอื่นๆที่ผ่านมาคือ
วันนี้ได้ไปเรียนหนังสือแต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิม กลับเป็นห่มผ้าเหลืองไปเรียน
ทำให้วันนี้ได้พบเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เรียนด้วยกัน ทำให้มีความสุขไปอีกแบบ
แต่ภายใต้ความสุขนั้นยังมีความทุกข์คือ
ดูเหมือนว่าจะไม่สบายเพราะแอร์ในห้องเรียนเย็นมากๆ
ทำให้มีอาการคล้ายจะไม่สบายอยู่เหมือนกัน พรุ่งนี้ต้องไปสอบด้วย เอ้า
สู้กันต่อไปพระเพชร...
วันที่เก้า
“การสอบได้ผ่านไป” วันนี้ไปสอบมาครึ่งวันไม่รู้ผลจะเป็นยังไง
แต่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ตอนเช้ามีรับกิจนิมนต์ที่หอพักชานหมู่บ้าน
มีโอกาสได้เจอพระอาจารย์มหาฯ อีกหน งานนี้เล่นเอาเกือบไปสอบไม่ทัน
กลับมาช่วงบ่ายก็ทำงานตามปก กวาดลานวัด รถน้ำต้นไม้
แต่รู้สึกว่าวันนี้ผ่านไปเร็วมาก พรุ่งนี้คือวันจันทร์แล้ว
ถ้าเป็นตอนที่ยังไม่บวชก็คงเตรียมตัวไปทำงานแต่นี่ยังไม่ได้ล่าสิกขาบทเลยต้องทำหน้าที่สงฆ์ต่อไป
นับไปนับมาเหลืออีก 7 วันคือวันอาทิตย์ถัดไปก็จะเวลาสิกขาบทแล้ว
ต้องกลับไปทำหน้าที่คราวาสต่อไปแล้ว มองไปมองมาเร็วเหมือนกันแฮะ....
วันที่สิบ
“เพื่อนแท้มีอยู่จริงหรือ” เข้าสู่วันที่สิบที่ได้มาบวชแล้ว
วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษๆ เลย จนกระทั่งช่วงสายๆ ก่อนเพล
หมาวัดสองตัวที่หลวงปู่ท่านได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ เล่นด้วยกัน กินด้วยกัน
นอนด้วยกันมาตลอด จู่ๆ วันนี้ดันมาทะเลาะกันกัดกันแบบเอาเป็นเอาตายไม่มีใครยอมใคร...มันทำให้หลวงพี่อดคิดไม่ได้ว่า...”เพื่อนแท้นั้นมีอยู่จริงไหม??” ขนาดหมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดชนิดนึ่ง
ยังมากัดเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของตนได้แบบไร้สาเหตุ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็หยอกล้อ
คลอเคลียร์กันเป็นอย่างดี แล้วประสาอะไรกับมนุษย์ตาดำๆ
อย่างหลวงพี่หรือโยมทั้งหลาย ที่จะไม่มีความรักโลภโกรธหลงเข้ามาแทรกได้....จริงไหมทุกท่าน
???
วันที่สิบเอ็ด.....”เปลี่ยนแผนกระทันหัน” วันนี้วันสบายๆอีกวัน
ไม่มีปัญหาเรื่องการคลุมผ้าอีกต่อไป แต่ก้ได้รับข่าวที่ค่อนข้างประหลาดใจพอสมควร
เมื่อสำนักพระราขวังแจ้งเลื่อนกำหนดการพระราชทานปริญญาบัตรสำหรับ
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและ มข. มมส. ออกไปเป็น เมษายน 2556
เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ทรงประชวร จึงทำให้ต้องปรับแผนใหม่พอสมควร
จากเดิมมีกำหนดที่จะไปถ่ายภาพบัณฑิต
ต้องเปลี่ยนมาเป็นอาจจะไปต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่เดินทางมาจาก เมืองเวียงจันทร์ (งานนี้มีแอบยิ้มในใจเล็ก
เพราะอะไรนั้นยังไม่บอก)
แต่ต้องรอเช็ดกับทางท่านอุปชาและหลวงปู่ว่าขึ้นตอนในการลาสิกขาบทนั้นจะใช้เวลานานไหม
ถ้านานอาจจะไม่ได้ร่วมเดนิทางไปด้วยในวันแรกก็เป็นได้
จากการเลือกกำหนดการพระราชทานปริญญาบัตรดังกล่าวนั้น
หลวงพี่คิดถึงสำนวนไทยอยู่คำนึ่งคือ “กระต่ายตื่นตูม”
เพราะช่วงแรกๆที่มีข่าวมาต่างตื่นตัวกันยกใหญ่ ขนาดมหาวิทยาลัยฯเอง
ยังลงข่าว แล้วลบข่าวอันนี้เป็นไปได้... ต้องรอช่วงบ่ายๆ ถึงยืนยัน 100
เปอร์เซ็นต์ว่าเลื่อนแน่นอน....
วันที่สิบสอง
“สบายใจ” เหตุใดจึงกลว่าว่าสบายได้อย่างเต็มปาก
ก็เพราะว่าหลวงพี่ครองผ้าเหลืองมาได้ 12 วันเต็มๆ แล้ว ช่างน่าดีใจเป็นยิ่งนัก
วันนี้รู้สึกสบายใจมากๆ เริ่มคิดวางการดำเนินชีวิตหลังลาสิกขาบท
ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ตามลำดับความสำคัญ
พร้อมกันนี้ก็ไม่ลืมที่จะท่องบทให้ศีลและบทลาสิกขาบทให้ได้สักครั้งก่อนลาสิกขาบทออกไป
แต่คิวงานทั้งงานราช
งานหลวงมี่รออยู่ยาวเช่นเดียวกัน ฉะนั้นจงวางแผนในการใช้ชีวิตให้ดี...แล้วชีวิตนี้จะคุ้มค่า
ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
วันที่สิบสาม
“พรุ่งนี้วันพระ” วันนี้สบายๆ
ใกล้ครบกำหนดตามที่ให้คำมั่นไว้แล้ว หลวงพี่รู้สึกสบายใจขึ้นมากช่วงนี้
พรุ่งนี้เป็นวันพระมีภารกิจที่จะต้องเตรียมที่ทางสำหรับทำกิจกรรมทำบุญวันพระไว้ให้ญาติโยมตอนเช้าๆ
ของวันพรุ่งนี้ อีกทั้งหลวงพี่เองก็ต้องเตรียมตัวให้ศีลญาติโยมในวันพรุ่งนี้
ซึ่งเป็นธรรมเนียมในการปฏิบัติของวัดที่มีมาแต่ช้านานว่า
พระใหม่ก่อนที่จะลาสิกขาบท ต้องให้ศีลญาติโยมก่อนอย่างน้องหนึ่งศีล(หนึ่งศีลในที่นี้คือหนึ่งครั้งในวันพระเด้อ)
โดยบทให้ศีลมีดังนี้
นะโมตัสสะ
ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธะสะ
นะโมตัสสะ
ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธะสะ
นะโมตัสสะ
ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธะสะ
พุทธัง
สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง
สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง
สะระนัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ
สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ
สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ
ติสะระณะคะมะนัง
นิฏฐิตัง
ปาณาติปาตา
เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ
อิทิณณาทานา
เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ
กาเมสุมิจฉาจารา
เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ
มุสาวาทา
เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐาณา
เวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ...
อิมานิ
ปัญจะ สิกขา ปะทาณิ สีเลณะ สุคะติง ยันติ สีเลณะ โภคคะสัมปทา
สีเลณะ
นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย
อีกข่าวดีสำหรับวันนี้คือได้รับ
E-mail
จากท่านรองฯแผน ของคณะฯ ว่า
คณะฯได้รับการสนับสนุกงบประมาณในการจัดหาครุภัณฑ์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2557
เป็นจำนวนเงินล้านกว่าบาทเลย ดีใจเหมือนกันที่ช่วยคณะฯ ประหยัดงบเงินรายได้พอสมควร...
วันที่สิบสี่
“น่าจะเป็นวันที่หินที่สุดในการบวชสิบห้าวัน”
เหตุที่บอกเช่นนั้นก็เพราะว่าวันนี้แจ๊คพ็อตลงที่พระใหม่เต็มๆ
ญาติโยมรวมทั้งหลวงปู่ มอบหมายให้หลวงพี่น้อยให้ศีลในวันพระจริงๆ ด้วย
ขนาดเตรียมตัวไปอย่างดีก็ยังออกอาการเขินๆ เพราะคนเยอะต่างจ้องมองที่เรา
ดีนะที่เอาตัวรอดมาได้ การได้ให้ศีลในการบวชระยะสั้นๆ เพียง 15 วัน
ให้ศีลได้หนึ่งครั้งพ่อแม่ก็ดีใจแล้ว วันนี้หลวงพี่น้อยฉันข้าวนิดเดียว
เพราะมันรู้สึกอิ่มในใจ อย่างบอกไม่ถูก เพลก็ยังอิ่มๆ อยู่ ทั้งที่ได้เวลาฉันเพล
ฉันได้นิดเดียว แต่...งานมาเข้าตอนเย็นอาการหิวเริ่มมา
ต้องพึ่งนมขวดในตู้เย็นที่โยมพ่อซื้อมาตุนไว้ให้ และโอวันติลร้อนๆ
ช่วยประทังอาการหิวได้นิดหน่อย
เคล็ดไม่ลับอีกอย่างหนึ่งในการช่วยให้คลายหิวคือ...การมานั่งพิมพ์เรื่องราวต่างๆให้เราๆ
ท่านได้อ่านกันนี่ละ และอีกอย่างที่ได้ไม่น้อยคือการสวดมนต์และ
หัดท่องบทสวดลาสิกขาบท เพราะใกล้เวลาที่จะต้องลาสิกขาแล้ว
โดยบทสาลิกขาบทมีดังนี้
“สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถะ”
“ข้าพเจ้าลาสิกขาบทแล้ว ท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่าข้าพเจ้าคือคฤหัสถ์”
และบทแสดงตนเป็นอุบาสก
“เอสาหัง พันเต สิจิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ
ภิกขุสังฆัญจะ อุปาสกัตตัง สังโฆ ธาเรตุ”…
วันที่สิบห้า
“งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา” คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะนอนที่วัดในการครองผ้าไตรจีวรตลอดเวลา
15 วัน ที่ผ่านมาได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมากมาย ทำผิดก็นับครั้งไม่ถ้วนเหมือนกัน
ช่วงเวลาที่ผ่านมาดังกล่าวช่างเป็นช่วงเวลาอันน้อยนิดแต่แฝงไปด้วยความพิเศษมากมายสำหรับชีวิตนี้ของหลวงพี่น้อย
ที่ได้บวชทดแทนคุณบิดามารดา กลับออกไปหลวงพี่คงมีอะไรให้คิดถึงหลายๆอย่างที่วัด
ไม่ว่าจะเป็นคำสอนขแงพระพุทธองค์ที่ว่าด้วยความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งวิถีการใช้ชีวิตในวัดที่ต้องตื่นแต่ตีสี่
ตีห้าทุกๆวันรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าๆ ทุกวัน
ที่การใช้ชีวิตข้างนอกนั้นไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ได้เรียนรู้กิจวัตประจำวันอันดีงามของสงฆ์
ว่าวันๆ พระท่านทำอะไรบ้างในเวลา 24 ชั่วโมง เท่าๆกัน คืนนี้คงนอนไม่ค่อยหลับแน่ๆ
เพราะมีเรื่องให้คิดมากมาย ทั้งคิดถึงการใช้ชีวิตในวัดแห่งนี้ ทั้งยังต้องคิดเผื่อวันพรุ่งนี้และวันต่อไปว่า
หลวงพี่จะต้องทำอะไรบ้างเมื่อลาสิกขาบทออกไป อีกใจนึ่งก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่จะลาสิกขาบทออกไปใช้ชีวิตตามปกติ
(มันพอดีกับวันที่คนสำคัญมาพอดี...^^)
ที่เขียนบันทึกเรื่องราว
ต่างๆ ขึ้นมานี้หลวงพี่ไม่ได้มีเจตนาจะชักจูงใครที่ชีวิตนี้ไม่คิดจะบวช
นั้นมาบวชนะครับ เพียงแต่หลวงพี่อยากบอกว่า....”การบวชให้อะไรเรามากกว่าที่เราคิดและเราเห็น”
การบวชให้อะไรเรามากกว่า การบวชเพื่อแก้บน การบวชเพื่อแต่งงาน
การบวชเพื่อทดแทนคุณ แต่การบวชนั้นหมายถึงการเข้ามาอยู่ภายใต้ชายคาผ้าเหลือง
ของพระพุทธองค์อันสงบสุข หลวงพี่เองก็ยังไม่บรรลุถึงธรรมหรอก
แต่หลวงพี่มองเห็นสิ่งหนึ่งเสมอตลอดการบวช 15 วันนี้คือ หลวงพี่เห็นความสุข “ในสายตาของชายหญิงหนึ่งตลอดเวลา 15 วัน สายตาสองคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติ
ความยินดีปรีดาที่ได้เห็นลูกชายของท่านอยู่ในชายผ้าเหลือง....”